คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3437/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 4 ง-5838 กรุงเทพมหานคร ทั้งเป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วย ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทจนชนท้ายรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ และโจทก์จัดการซ่อมรถคันที่โจทก์รับประกันภัยแล้วจึงเข้ารับช่วงสิทธิในค่าเสียหายดังกล่าวดังนี้ แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ด้วย แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าในขณะที่เกิดเหตุจำเลยเพียงเป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุเท่านั้น โดยจำเลยมิได้เป็นผู้ขับหรือโดยสารไปด้วย จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์คันเกิดเหตุตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ชนท้ายรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์จัดการซ่อมรถคันที่รับประกันภัยแล้ว จึงเข้ารับช่วงสิทธิในค่าเสียหายดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 9,623 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีของต้นเงิน 9,165 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า ผู้เอาประกันภัยไม่ใช่ผู้ขับรถคันเกิดเหตุที่โจทก์รับประกันภัย แต่มอบให้บุคคลอื่นที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่เป็นผู้ขับอันเป็นการผิดเงื่อนไขประกันภัยและโจทก์ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย จำเลยไม่ใช่ผู้ขับหรือครอบครองรถคันเกิดเหตุของจำเลยและไม่เคยจ้าง วานหรือใช้ผู้ใดขับรถคันเกิดเหตุดังกล่าว ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง เหตุที่เกิดโดยไม่ใช่ความผิดของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 4 ง-5838 กรุงเทพมหานครค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป รถจำเลยเสียหายที่กันชนด้านหน้าข้างซ้ายยุบและตัวถังรถใต้กันชนบุบ จะเสียค่าซ่อมและเปลี่ยนอุปกรณ์ประมาณ 10,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไป
โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 9,623 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้นตามคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องของโจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ด้วย แต่ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยเพียงเป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุเท่านั้นโดยจำเลยมิได้เป็นผู้ขับหรือโดยสารไปด้วย จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์คันเกิดเหตุตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นและเนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย

Share