คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารแสดงว่าเป็นหนี้เงิน แม้ไม่แสดงไว้ว่าเป็นหนี้เงินกู้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องตาม มาตรา 653 ได้ จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังการนำสืบต่อไปว่าเป็นหนี้อะไร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป 6,500 บาทโดยไม่มีหนังสือ แต่มีหนังสือของจำเลยรับสารภาพหนี้ มีข้อความว่า” ฯลฯ เนื่องจากหลานไปเอาเงินจากหุ้นส่วนยังไม่ได้ครบ 3 พันได้มาเพียงพันสองร้อย จึงได้คืนเงินพันสองร้อยนั้นไปหมด แล้วยึดรถไว้ ทางเฮียบเส็งขอผลัดอีก 7 วัน เงินของคุณน้าคิดแล้วเป็นเงินหกพันห้าร้อยบาท วันที่ 12 มิถุนายน ถ้าไม่ได้ตัวเงินทางเฮียบเส็งจะขายพันธบัตรให้ แต่หลายเกรงใจคุณน้าจะว่าโกง จึงเอาหนังสือสำคัญมาให้คุณน้ายึดไว้ก่อน ฯลฯ” ขอให้จำเลยใช้เงินรายนี้ให้โจทก์

จำเลยให้การว่า ไม่ใช่เรื่องยืม เป็นเรื่องโจทก์ให้เงินจำเลยไปลงทุน และได้คิดบัญชีไว้ไม่ติดค้างกันแล้ว แต่มิได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานไว้ และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องร้อง เพราะได้ชำระหนี้แล้ว

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลแพ่งว่า ข้อความในหนังสือดังกล่าวแล้วฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ แต่จะเป็นหนี้เรื่องอะไรไม่ปรากฏ ให้ยกคำพิพากษาศาลแพ่ง และให้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ตามเอกสารดังกล่าวนั้นมีข้อความแสดงให้เข้าใจได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 6,500 บาท นับว่าเป็นการเพียงพอที่ถือได้ว่า หนังสือนี้เป็นหนังสือรับสารภาพหนี้ซึ่งถ้าเป็นการกู้หนี้กันจริง ก็ปรับเข้าในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องร้องคดีนี้ได้ตามที่อ้างว่าเป็นหนี้เงินยืม ซึ่งจะต้องพิจารณาต่อไปว่า จริงเพียงไรดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงพิพากษายืน

Share