แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์รับจ้างติดตามจับกุมบุคคลที่ศาลอาญาออกหมายจับ และโจทก์ได้ขอให้จำเลยออกหมายค้นเพื่อนำเจ้าพนักงานตำรวจ ติดตามจับกุมบุคคลผู้นั้น โจทก์กระทำในฐานะผู้รับจ้างเพื่อ หวังเอาค่าจ้างไม่ใช่ในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาที่ศาล ออกหมายจับ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับคือไม่ได้ค่าจ้าง เป็นความเสียหายส่วนตัวโจทก์โดยแท้ โจทก์จึงมิใช่ ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ขอให้จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ออกหมายค้นบ้านซึ่งอยู่ในเขตท้องที่ของจำเลย เพื่อติดตามจับกุมบุคคลที่ศาลอาญาออกหมายจับ แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม ทำให้ไม่สามารถติดตามนำจับกุมบุคคลผู้นั้นได้ การกระทำของจำเลยเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่ใช้ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงในคดีโจทก์เป็นผู้รับจ้างจากบุคคลอื่นไปตามจับนางราตรีตามหมายจับของศาลอาญาและได้ขอให้จำเลยออกหมายค้นเพื่อนำเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับนางราตรีนั้น โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้รับจ้างเพื่อหวังเอาค่าจ้าง มิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าว โจทก์ได้รับความเสียหายคือไม่ได้ค่าจ้าง โจทก์เป็นเพียงผู้กระทำการแทนผู้เสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวีธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน