คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3428/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำเบิกความของพนักงานสอบสวนที่ว่าได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุทำแผนที่เกิดเหตุ และให้ความเห็นจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่เกิดเหตุประกอบกันว่าเหตุเกิดเพราะความผิดของฝ่ายใด มิใช่พยานบอกเล่ารับฟังได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากมูลละเมิดและประกันภัยจำนวน 47,641 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 4 ฝ่ายเดียวทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างขณะที่ปฏิบัติการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน47,641 บาทแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้หนึ่งในสามส่วนให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันใช้สองในสามส่วน ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้นตามส่วนที่จะต้องชำระดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานจากพยานบอกเล่าคือ ร้อยตำรวจเอกอุดมสุข ปทุมเทาวภิบาล นั้น เห็นว่า ในข้อนี้ร้อยตำรวจเอกอุดมสุขเป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้ เบิกความว่าได้ไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุทำแผนที่เกิดเหตุ และให้ความเห็นจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่เกิดเหตุประกอบกับ คำเบิกความของร้อยตำรวจเอกอุดมสุขดังกล่าวจึงหาใช่พยานบอกเล่าดังที่จำเลยที่ 3 อ้างไม่ ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยที่ 3 นอกจากนี้ล้วนเป็นเรื่องโต้เถียงการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share