คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3425/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าน้ำมันชนิดต่างๆ จากจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊ม ท.บริการฟ้องเรียกเงินจำนวน 73,688 บาท โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊ม ย.บริการฟ้องเรียกเงินจำนวน 15,896 บาทโดยทั้งสองมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี เพราะเป็นการซื้อขายคนละสถานที่คนละเวลา ซึ่งโดยปกติโจทก์ทั้งสองจะฟ้องคดีรวมกันมาไม่ได้ ฉะนั้นในการคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทจึงต้องแยกพิจารณาของโจทก์แต่ละคนไปจะนำมาพิจารณารวมกันไม่ได้ เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 2 มีเพียง 15,986 บาท คดีในส่วนของโจทก์ที่ที่ 2 จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและย่อมพิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องของ โจทก์ที่ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้จัดการปั๊มน้ำมันเอสโซ่ทองสงวนบริการ โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้จัดการปั๊มน้ำมันเอสโซ่ยิ่งวัฒนาจำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างทาง จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 ซื้อน้ำมันชนิดต่าง ๆไปจากโจทก์ที่ 1 เพื่อนำไปสร้างทางคิดเป็นเงิน 73,688 บาท และซื้อน้ำมันต่าง ๆ จากโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 15,986 บาท สัญญาว่าจะชำระเงินภายใน5 วัน แต่จำเลยที่ 2 ไม่ชำระเงินตามนัด โจทก์ทั้งสองทวงถาม จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับกรมทางหลวงก็เพื่อให้ถูกระเบียบทางราชการเท่านั้น มิได้ทำขึ้นเพื่อให้จำเลยที่ 2 ไปติดต่อกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า การซื้อน้ำมันชนิดต่าง ๆ ตามฟ้อง เป็นการทำแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 89,674 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ที่ 1 ฟ้องเรียกเงินค่าขายสินค้าจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 73,688 บาท ส่วนโจทก์ที่ 2 ก็ฟ้องเรียกเงินค่าขายสินค้าจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 15,986 บาท โดยโจทก์ทั้งสองมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี เพราะเป็นการซื้อขายคนละสถานที่คนละเวลา ซึ่งโดยปกติโจทก์ทั้งสองจะฟ้องคดีรวมกันมาไม่ได้ ฉะนั้นในการคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทจึงต้องแยกพิจารณาของโจทก์แต่ละคนไป จะนำมารวมกันไม่ได้ เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 2 มีเพียง 15,986 บาท คดีในส่วนของโจทก์ที่ 2 จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จึงไม่ถูกต้อง

สำหรับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนสั่งซื้อน้ำมันจากโจทก์ที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 ตามฟ้อง

พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับฟ้องของจำเลยที่ 2 นอกจากนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share