แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ทำเอกสารเซ็นชื่อลงในกระดาษ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเอกสารเพื่อใช้ในกิจการอย่างหนึ่ง เพราะถูกหลอกลวงไม่เป็นการเจตนาทำนิติกรรมไม่มีผลผูกพันเจ้าของที่เซ็นชื่อประการใด เมื่อเอกสารเหล่านั้นไม่ผูกพันการโอนไปซึ่งกรรมสิทธิ์แห่งที่พิพาทที่อาศัยเอกสารเหล่านั้นดำเนินไปจึงไม่มีผลผูกพันผู้ลงชื่อในเอกสารเพราะถูกหลอกลวง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องมีใจความที่มีปัญหามาถึงขั้นฎีกาว่า จำเลยได้สมคบกันฉ้อโกงเอาที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องกับเรือนสามห้องของโจทก์ไปโอนกัน โดยจำเลยที่ ๑ ได้นำเอกสารหลายฉบับมาให้โจทก์เซ็น โจทก์หลงเชื่อได้เซ็นชื่อในเอกสารเหล่านั้นโดยมิได้อ่านข้อความ จำเลยที่ ๑ นำกระดาษลายเซ็นไปกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ไปไถ่ถอนที่พิพาทที่จำนองไว้กับวัดธรรมบูชา แล้วกรอกข้อความลงในเอกสารอีกฉบับหนึ่งว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ แทนโจทก์ไปทำการยกที่ดินให้จำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๒ ได้ไปจัดการโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ ๓ แล้วจำเลยที่ ๓ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๔ เป็นตัวแทนยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานโอนให้จำเลยที่ ๑ การกระทำดั่งกล่าวทำไปด้วยกลอุบายและกลฉ้อฉลโจทก์ นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ จึงมาฟ้องให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายด้วย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ต่อสู้ว่ามิได้ฉ้อโกงโจทก์ โจทก์มอบฉันทะให้จัดการเอง มิได้เอากระดาษเปล่าให้เซ็นแล้วมากรอกข้อความดั่งฟ้อง เมื่อโจทก์โอนให้จำเลยที่ ๓ แล้วจำเลยที่ ๓ ได้โอนขายให้จำเลยที่ ๑ ๆ ย่อมได้กรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์ ๆ ไม่มีสิทธิทำลายนิติกรรมหรือให้ศาลแสดงว่าเป็นโมฆะ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อข้อเท็จจริงว่าจำเลยสมคบกันหลอกลวงโจทก์ให้ลงชื่อในกระดาษแล้วไปกรอกข้อความไปไถ่เอาที่พิพาทมา แล้วกันต่อไป และวินิจฉัยว่าเมื่อฟังว่าจำเลยสมคบกันล่อลวงโจทก์ ๆ หลงเชื่อได้ลงชื่อในรายงานด้วยความหลอกลวงของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เรียกว่าเป็นนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา ๑๑๒ เมื่อฟังว่าไม่ใช่นิติกรรม ข้อความตามเอกสาร ก.ข.ค.ง. และ จ. ก็ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์แก่โจทก์ประการใด ให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของโจทก์โดยปราศจากสิทธิใด ๆ.