คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3424/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ป.รัษฎากร มาตรา 118 หมายความว่า ตราสารชนิดที่ต้องปิดอากรแสตมป์หากยังมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนและทำการขีดฆ่าไม่สามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ แต่หากนำตราสารนั้นไปปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์และขีดฆ่าแล้วก็สามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ แม้การปิดอากรแสตมป์จะกระทำเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ปิดก็เป็นเรื่องการเสียเงินเพิ่มอากรซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเรียกเก็บเงินอากรจะจัดการเรียกเก็บในโอกาสต่อไป ไม่มีผลต่อการใช้ตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง
จำเลยกู้เงินโจทก์ 50,000 บาท โดยทำสัญญากู้เงินเป็นหนังสือ แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์ภายใน 90 วัน นับแต่วันต้องปิดตามที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อโจทก์อ้างสัญญากู้เงินเป็นพยานหลักฐานในชั้นสืบพยานปรากฏว่ามีการปิดอากรแสตมป์ 25 บาท ครบถ้วนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์และขีดฆ่าแล้ว แม้จะยังมิได้เสียเงินเพิ่มอากร โจทก์ก็ใช้สัญญากู้เงินเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2539 จำเลยกู้เงินโจทก์ 50,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยทุกเดือน และนำโฉนดที่ดินเลขที่ 2769 มาวางเป็นหลักประกัน แต่จำเลยผิดนัดชำระดอกเบี้ยตั้งแต่งวดแรก โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 104,451 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ สัญญากู้เงินดังกล่าวมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ชัดแจ้ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกินกว่า 5 ปี จำเลยกู้เงินโจทก์ 50,000 บาท เมื่อปี 2526 และนำโฉนดที่ดินเลขที่ 2769 ให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักประกัน พร้อมกับลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ จำเลยชำระหนี้ครบถ้วนแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้เงินและโฉนดที่ดินให้จำเลย ต่อมาโจทก์นำสัญญากู้เงินดังกล่าวมากรอกข้อความเป็นเท็จว่าจำเลยกู้เงินในปี 2539 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คำนวณตั้งแต่วันฟ้องย้อนหลัง 5 ปี กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ใช้สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้หรือไม่ ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113 และมาตรา 114 บทบัญญัตินี้หมายความว่า ตราสารชนิดที่ต้องปิดอากรแสตมป์หากยังมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนและทำการขีดฆ่าก็ไม่สามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ แต่หากนำตราสารนั้นไปปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์และขีดฆ่าแล้วก็สามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ แม้การปิดอากรแสตมป์จะกระทำเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ปิดก็เป็นเรื่องการเสียเงินเพิ่มอากรซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเรียกเก็บเงินอากรจะจัดการเรียกเก็บในโอกาสต่อไป ไม่มีผลต่อการใช้ตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งแต่อย่างใด คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ 50,000 บาท และมีการทำสัญญากู้เงินกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 แม้สัญญากู้เงินดังกล่าวโจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์ภายใน 90 วัน นับแต่วันต้องปิดตามที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อโจทก์อ้างสัญญากู้เงินฉบับนี้เป็นพยานหลักฐานในชั้นสืบพยานปรากฏว่ามีการปิดอากรแสตมป์ 25 บาท ครบถ้วนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์และขีดฆ่าแล้ว แม้จะยังมิได้เสียเงินเพิ่มอากร โจทก์ก็ใช้สัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share