คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3424/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่เรือนโรงของจำเลยปลูกอยู่ในที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งอยู่ระหว่างหน้าที่ดินโจทก์กับคลอง มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ ทั้งมีมาก่อนที่โจทก์จะซื้อที่ดินนั้นมา แม้โจทก์จะมีอาชีพทำประมง แต่ก็ปรากฏว่าโจทก์ก็ยังสามารถนำเรือประมงเข้าออกที่ดินของโจทก์ได้พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันปลูกสร้างโรงเรือนในที่ชายตลิ่งติดหน้าที่ดินโจทก์กีดขวาง ปิดกั้นหน้าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือที่จดคลองพุมเรียงขนานกับหน้าที่ดินโจทก์ประมาณ6 เมตร มาตั้งแต่ก่อนโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าว ทำให้โจทก์ซึ่งมีอาชีพทำประมงเสียหาย โดยไม่สามารถใช้สอยที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือเข้าออกสู่คลองพุมเรียงได้ และไม่สามารถจอดเรือประมงขนานกับหน้าที่ดินของโจทก์ในการขึ้นลงผลิตผลที่โจทก์ได้จากการประมงตามปกติสุข โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสามรื้อโรงเรือนดังกล่าวออกไปจากหน้าที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสามไม่รื้อ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรื้อถอนโรงเรือนสิ่งกีดขวางตามฟ้อง พร้อมขนย้ายบริวารออกไปจากที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือห้ามมิให้เข้ามารบกวนเกี่ยวข้องอีก ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 900 บาท และวันละ 100 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะรื้อถอนโรงเรือนสิ่งกีดขวางออกไปจากที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินโจทก์แล้วเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโรงเรือนพิพาทของจำเลยทั้งสามไม่ได้กีดขวางปิดกั้นการใช้ที่ดินของโจทก์กล่าวคือ โรงเรือนพิพาทได้ยกพื้นสูงเหนือระดับตลิ่ง ข้างล่างปล่อยโล่งโดยตลอด โจทก์สามารถที่จะนำเรือเข้าจอดทางคลองพุมเรียงได้หลายลำ โดยใช้หัวเรือเข้าหาตลิ่งดังที่โจทก์จำเลยและชาวบ้านจอดกันหน้าที่ดินโจทก์ติดริมคลองก็ยังมีที่ว่างยาวถึง6 เมตร โรงเรือนพิพาทจึงหาได้ปิดกั้นกีดขวางทำให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โรงเรือนของจำเลยทั้งสามปลูกอยู่ในที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งอยู่ระหว่างหน้าที่ดินโจทก์กับคลองพุมเรียง มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่มีมาก่อนที่โจทก์จะซื้อที่ดินนั้นมา แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าโจทก์มีอาชีพทำประมงและมีเรือประมงอยู่ 1 ลำ ดังที่โจทก์นำสืบก็ตาม โจทก์ก็ยังมีที่ดินต่อจากโรงเรือนพิพาทติดกับคลองพุมเรียงเหลืออีก 3 วา ซึ่งสามารถใช้จอดเรือประมงได้ โดยการหันหัวเรือเข้าหาตลิ่งที่โจทก์ฎีกาว่าการจอดเรือประมงจะต้องให้ตัวเรือขนาดกับชายตลิ่ง ที่ดินของโจทก์ที่เหลือจากถูกโรงเรือนพิพาทบังเพียง 3 วา ไม่พอกับความยาวของตัวเรือ จึงไม่สามารถจอดได้นั้น ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ที่ 3 ว่า การจอดเรือใต้ถุนโรงเรือนพิพาทใช้หัวเรือทิ่มเข้าหาฝั่ง ทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความว่าโรงเรือนพิพาทบังหน้าที่ดินโจทก์เพียง 3 วา แต่สามารถนำเรือประมงจอดใต้ถุนโรงเรือนนั้นได้ถึง 2 ลำ เช่นนี้ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้ ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า จำเลยทั้งสามนำเรือประมงของจำเลยมาจอดเทียบหน้าโรงเรือนพิพาท โดยส่วนหัวเรือขนานกับโรงเรือนพิพาท ส่วนท้ายเรือปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ในส่วนที่เหลือจากที่ถูกโรงเรือนพิพาทบัง ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำเรือประมงของโจทก์เข้าจอดหน้าที่ดินของโจทก์ได้นั้นเห็นว่าแม้จะเป็นความจริงดังโจทก์อ้าง เหตุที่โจทก์นำเรือเข้าจอดไม่ได้หาใช่เกิดจากโรงเรือนพิพาทไม่ หากแต่เกิดจากการจอดเรือประมงของจำเลยทั้งสาม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า แม้โรงเรือนพิพาทจะปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดคลองพุมเรียงเป็นบางส่วน แต่โจทก์ก็ยังสามารถนำเรือประมงเข้าออกที่ดินของโจทก์ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและเดือนร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1337 จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนพิพาทออกไป คดีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share