คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3420/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลให้การว่าไม่เคยมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนดำเนินการขายลดเช็คแก่โจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาโดยพลการ ส่วนจำเลยที่2 กลับต่อสู้ว่าไม่เคยนำเช็คมาขายให้โจทก์ แต่ถ้าทำก็ทำในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 จึงเป็นการขัดกันเองอยู่ในตัว
โจทก์ฟ้องคดีตามสัญญาซื้อขายซึ่งจำเลยนำเช็คมาทำสัญญาขายลดให้โจทก์ มิได้ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย ในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังจึงมีอายุความ 10 ปี
สัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างเป็นการค้ำประกันในวงเงิน150,000 บาท และ 1,500,000 บาท ซึ่งตามประมวลรัษฎากรจะต้องปิดอากรแสตมป์ฉบับละ 10 บาท เมื่อปิดอากรแสตมป์เพียงฉบับละ 5 บาท จึงถือได้ว่าเป็นตราสารที่มิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้และเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้นำเช็ค 5 ฉบับ ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายมาทำสัญญาขายลดให้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไว้ต่อโจทก์ 2 ฉบับเมื่อถึงกำหนดชำระเงินโจทก์นำเช็คทั้ง 5 ฉบับเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่เคยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาโดยพลการ เอกสารท้ายฟ้องหมาย 5 และ 7 เป็นเอกสารปลอม เอกสารหมายเลข 3, 4, 5, 6 และ 7 ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่เคยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ทำขึ้นก็ทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และ 7 เป็นเอกสารปลอม และเอกสารหมายเลข 3, 4, 5, 6 และ 7 ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย อย่างไรก็ดีหนี้ตามฟ้องจำเลยที่ 2ได้ชำระแก่โจทก์แล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันหรือสลักหลังเช็คให้ไว้แก่โจทก์ สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์ไม่มีสิทธิอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานฟ้องคดีได้ คดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่เคยมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการขายลดเช็ค จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาโดยพลการ ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นหนี้ ฉะนั้นแม้จะมีการชำระหนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดแก่จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลกลับต่อสู้ว่าไม่เคยนำเช็คมาขายให้โจทก์ แต่ถ้าทำก็ทำในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 จึงเป็นการขัดกันเองอยู่ในตัว ส่วนที่ต่อสู้ว่าหนี้ตามฟ้องจำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วก็ไม่ชัดแจ้งว่าชำระในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 หรือในฐานะส่วนตัว ซึ่งถ้าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ก็ขัดกับคำให้การของจำเลยที่ 1 ถ้าเป็นการชำระในฐานะส่วนตัว ก็ขัดกับคำให้การของตนเองที่ว่าทำในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นความจริงอย่างไรแน่

ปัญหาเรื่องคดีขาดอายุความนั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้ตามสัญญาซื้อขายโดยจำเลยนำเช็คมาทำสัญญาขายลดให้โจทก์และได้รับเงินค่าขายลดไปครบถ้วนแล้วแต่เมื่อโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยนำมาขาย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามสัญญา หาใช่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังไม่ ฉะนั้นคดีของโจทก์จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 และตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 153/2522

จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดีว่าไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้อง สัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมและเป็นเอกสารที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิอ้างเป็นพยานหลักฐานฟ้องคดีได้ และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้องหรือไม่โดยไม่ได้พูดถึงเลยว่าสัญญาค้ำประกันนี้สมบูรณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ ฉะนั้น จึงถือไม่ได้ว่าปัญหานี้ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น อย่างไรก็ดีเมื่อจำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันและสัญญาที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นเอกสารปลอม โจทก์จะต้องอ้างหนังสือสัญญาค้ำประกันนี้เป็นพยานหลักฐานในคดี เมื่อสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างค้ำประกันในวงเงิน 150,000 บาท และ 1,500,000 บาทตามลำดับซึ่งตามประมวลรัษฎากรจะต้องปิดอากรแสตมป์ฉบับละ 10 บาท แต่สัญญาค้ำประกันทั้งสองฉบับที่โจทก์อ้างต่อศาลปิดอากรแสตมป์เพียงฉบับละ 5 บาท จึงถือได้ว่าเป็นตราสารที่มิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์และไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 การที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือที่มีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันจึงไม่อาจฟ้องคดีให้จำเลยที่ 3 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3

Share