คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3380/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยผู้บุกรุกให้รื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินบางส่วนของโจทก์ที่ 1 ซึ่งให้โจทก์ที่ 2 เช่าและร่วมกันเรียกค่าเสียหาย 10,000 บาท กับอีกเดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองชนะคดีเต็มตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2คงให้โจทก์ที่ 1 ชนะคดีในเรื่องขับไล่ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เพียงเดือนละ 500 บาท จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้สร้างหลังคาและรั้วต่อเติมรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ซึ่งให้โจทก์ที่ 2 เช่าโดยไม่มีสิทธิใด ๆโจทก์ทั้งสองได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อออกไป แต่จำเลยและบริวารเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้ออาคารส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินประมาณ 2 ตารางวา ของโจทก์และชำระค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงิน 10,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อออกไป จำเลยให้การว่าโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้เช่าอาคารเลขที่ 182 เท่านั้น ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ 1 ไม่มีเจตนาฟ้องจำเลยลายมือชื่อของไวยาจักรจึงอาจไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงก็ได้ โจทก์ที่ 2 ยุยงให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องจำเลยเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จำเลยไม่ได้ก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ 1 เจ้าของอาคารเลขที่ 335เดิมเป็นผู้ก่อสร้างในที่ดินของโจทก์ที่ 1 โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าอาวาสคนก่อน โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหาย ถ้าได้รับความเสียหายก็ไม่เกิน 50 บาท นายสงัด ไทยวารี ไม่ได้รับมอบอำนาจให้บอกกล่าวเลิกสัญญาที่จำเลยเคยขออาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวและจำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนส่วนที่บุกรุกออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1ถ้าไม่รื้อให้โจทก์เป็นผู้รื้อโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 10,000 บาท ถึงวันฟ้อง และค่าเสียหายเดือนละ1,000 บาท จนกว่าจะรื้อเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ห้ามจำเลยและบริวารบุกรุกที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 เดือนละ 500 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสองร่วมกันฟ้องขับไล่จำเลยผู้บุกรุกให้รื้อถอนออกไปจากที่ดินบางส่วนของโจทก์ที่ 1 ซึ่งให้โจทก์ที่ 2 เช่าทั้งอาคารและที่ดินดังกล่าวและร่วมกันเรียกค่าเสียหาย 10,000 บาท กับค่าเสียหายรายเดือนอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองชนะคดีเต็มตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 คงให้โจทก์ที่ 1 ชนะคดีในเรื่องขับไล่และแก้ค่าเสียหายเพียงเล็กน้อย จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่จำเลยฎีกาว่านายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ไวยาวัจกรของโจทก์ที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความเพื่อฟ้องบุคคลอื่น ไม่ใช่เพื่อฟ้องจำเลยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องก็ดี โจทก์ที่ 2 ยุยงและออกค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีนี้ให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี นางพเยาว์ รัตนวงศ์ เจ้าของบ้านเดิมได้ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 โดยได้รับอนุญาตจากหลวงบุษยมานไวยาวัจกรคนก่อนของโจทก์ที่ 1 เมื่อจำเลยเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 335 ซึ่งซื้อจากนางพเยาว์ จำเลยจึงมีสิทธิอาศัย เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบล่วงหน้าก่อนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยก็ดี ศาลจะบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องไม่ได้ เพราะตามพยานโจทก์ได้ความว่าที่ดินของโจทก์ที่ 1 ส่วนที่ว่าจำเลยรุกล้ำอยู่คนละทิศกันกับส่วนที่ปลูกสร้างรุกล้ำอยู่ในปัจจุบันก็ดี และศาลอุทธรณ์ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท สูงเกินไปก็ดี เห็นว่า ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เนื่องจากตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2527 มาตรา 11 ให้เพิ่มเติมบทมาตรา 296 ทวิเป็นว่า “ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกพิพากษาให้ขับไล่ หรือต้องออกไปหรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์สินที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์ดังกล่าว”ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จะให้โจทก์รื้อถอนเองโดยบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share