แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับการขอรับเงินค่าทดแทน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว จำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุด จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ทั้งไม่อาจถือว่า การยื่นฎีกาเป็นการยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว
การขอให้จ่ายค่าทดแทนการถูกคุมขังตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 246 บัญญัติให้สิทธิของบุคคลที่จะได้รับค่าทดแทนต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติเมื่อยังไม่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช้บังคับ สิทธิดังกล่าวของจำเลยจะต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่และจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร ย่อมไม่อาจมีผู้ใดกำหนดขึ้นได้จนกว่าจะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับ ทั้งกรณีนี้ไม่ใช่คดีแพ่ง จะนำกฎหมายอื่นมาใช้ในลักษณะของกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งก็กระทำมิได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) จำคุก 3 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนจำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำคุก 3 เดือน และปรับ 1,000 บาทไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงว่า จำเลยที่ 2 ถูกคุมขังระหว่างฎีกาตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2541 เมื่อหักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากจำนวนเงินค่าปรับแล้วยังคงเหลืออีกหลายวัน ขอให้สั่งจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่จำเลยที่ 2 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 246
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สิทธิของผู้จะได้รับค่าทดแทนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 246 นั้น ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อยังไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้จึงไม่อาจดำเนินการให้ตามที่จำเลยที่ 2 แถลงขอยกคำแถลง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า จำเลยที่จะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายตามสมควร เฉพาะกรณีที่ปรากฏตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดโดยข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด เมื่อคดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยที่ 2มีความผิด จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทน พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่า ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับการขอรับเงินค่าทดแทนนั้นเห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นในทำนองนี้ไว้แล้วตามคำร้องลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุด จำเลยที่ 2 จึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ทั้งไม่อาจถือว่าการยื่นฎีกาเป็นการยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอีกข้อหนึ่งขอให้จ่ายค่าทดแทนการถูกคุมขังระหว่างฎีกานั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 246 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลใดตกเป็นจำเลยในคดีอาญาและถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี หากปรากฏตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนี้นั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายตามสมควร ตลอดจนบรรดาสิทธิที่เสียไปเพราะการนั้นคืน ทั้งนี้ตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ” ดังนั้น สิทธิของบุคคลที่จะได้รับค่าทดแทนย่อมต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ขณะนี้ยังไม่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกบังคับใช้ สิทธิดังกล่าวของจำเลยที่ 2จะต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่ และจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไรย่อมไม่อาจมีผู้ใดกำหนดขึ้นได้จนกว่าจะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับทั้งกรณีนี้มิใช่คดีแพ่งจะนำกฎหมายอื่นมาใช้ในลักษณะของกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งก็กระทำมิได้ ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน