คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3416/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ผู้ร้องจะอ้างว่า ต. ได้ทำสัญญาเรื่องจะขายที่ดินพิพาทไว้ให้แก่ผู้ร้องและสามีตามเอกสารหมาย ร.1 ก็ตาม แต่เอกสารดังกล่าวคงมีแต่ ต. ลงลายมือชื่อเป็นผู้จะขายและผู้เขียนสัญญาฝ่ายเดียว ส่วนผู้ร้องและสามีผู้ร้องกลับไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญาดังกล่าวนั้นด้วย สัญญาดังกล่าวจึงรับฟังได้แต่เพียงว่าเป็นคำมั่นของ ต. ว่าจะขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องและสามีเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องและสามีได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการซื้อขายนั้นให้สำเร็จต่อไป และคำบอกกล่าวเช่นนั้นได้ไปถึง ต.แล้วคำมั่นของต. ดังกล่าวจึงยังไม่มีผลเป็นการซื้อขายตาม ป.พ.พ. มาตรา 454 วรรคแรก ดังนั้น จะฟังว่าสัญญาเรื่องจะขายที่ดินเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างต. กับผู้ร้องและสามีไม่ได้ การที่ผู้ร้องและสามีเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของ ต. จึงมิได้เป็นการยึดถือครอบครองแทน ต. โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเรื่องจะขายที่ดินตามเอกสาร กรณีของผู้ร้องและสามีจึงหาจำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยัง ต.หรือทายาทของต. ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1381 ไม่ เมื่อผู้ร้องและสามียึดถือครอบครองที่ดินของต. ไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว นายเต๊กเกียง แซ่ลี้ ได้ขายที่ดินโฉนดที่ 2041 ตำบลอู่ทองอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่ผู้ร้อง โดยมิได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้องตามกฎหมาย แต่ได้มอบโฉนดที่ดินดังกล่าวและการครอบครองให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องได้เข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ และทำประโยชน์ในที่ดินนับแต่ซื้อจนถึงปัจจุบัน ขอให้สั่งว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า เมื่อประมาณ 30 ปี มาแล้วนายเต๊กเกียง แซ่ลี้ บิดาผู้คัดค้านได้ให้ผู้ร้องเช่าที่ดินโฉนดตามคำร้องทำนา โดยเก็บค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกทุกปี ไม่ได้ขายให้แก่ผู้ร้อง หลังจากนายเต๊กเกียงถึงแก่กรรมแล้วผู้คัดค้านได้เก็บค่าเช่าจากผู้ร้องตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ที่ผู้ร้องเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินเป็นการเข้าไปครอบครองแทนนายเต๊กเกียงเจ้าของกรรมสิทธิ์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดที่ 2041 ตำบลอู่ทอง (กระจัน)อำเภออู่ทอง (จรเข้สามพัน) จังหวัดสุพรรณบุรี ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครอง
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยผู้คัดค้านมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ผู้ร้องและนายถ่ายสามีผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโฉนดที่ 2041 ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีชื่อนายเต๊กเกียง แซ่ลี้ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมายร.2 มานานกว่า 40 ปีแล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทดังกล่าวด้วยการครอบครองตามกฎหมายหรือไม่ ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องและสามีได้ซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวมาจากนายเต๊กเกียง นายเต๊กเกียงได้ทำหนังสือสัญญาเรื่องจะขายที่ดินตามเอกสารหมาย ร.1 ให้ผู้ร้องกับสามีไว้กับได้มอบที่ดินพิพาทและโฉนดที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องและสามียึดถือครอบครองผู้ร้องกับสามีได้ทำประโยชน์ในที่ดินและเสียภาษีบำรุงท้องที่ทุกปีตลอดมา ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน นายเต๊กเกียงก็ได้ถึงแก่กรรมไปประมาณ 10 ปีแล้ว โดยไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้องและสามีพยานหลักฐานของผู้ร้องดังกล่าวนี้ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะอ้างว่านายเต๊กเกียงได้ทำสัญญาเรื่องจะขายที่ดินพิพาทไว้ให้แก่ผู้ร้องและสามีตามเอกสารหมาย ร.1 ก็ตามแต่เอกสารดังกล่าวคงมีแต่นายเต๊กเกียงลงลายมือชื่อเป็นผู้จะขายและผู้เขียนสัญญาฝ่ายเดียวส่วนผู้ร้องและสามีผู้ร้องกลับไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญาดังกล่าวนั้นด้วย สัญญาดังกล่าวจึงรับฟังได้แต่เพียงว่า เป็นคำมั่นของนายเต๊กเกียงว่าจะขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องและสามีเท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ร้องและสามีได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการซื้อขายนั้นให้สำเร็จต่อไป คำบอกกล่าวเช่นนั้นได้ไปถึงนายเต๊กเกียงแล้ว คำมั่นของนายเต๊กเกียงดังกล่าวจึงยังไม่มีผลเป็นการซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 454 วรรคแรกดังนั้น จะฟังว่าสัญญาเรื่องจะขายที่ดินเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนายเต๊กเกียงกับผู้ร้องและสามีไม่ได้ การที่ผู้ร้องและสามีเข้าไปยึดถือครอบครองแทนนายเต๊กเกียง โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของนายเต๊กเกียง จึงมิได้เป็นการยึดถือครอบครองแทนนายเต๊กเกียง โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินของผู้ร้องและสามี จึงหาจำต้องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองด้วยการบอกกล่าวไปยังนายเต๊กเกียงหรือทายาทของนายเต๊กเกียงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เพื่อแสดงว่าเป็นการยึดถือครอบครองเพื่อตนเองไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องและสามีได้ยึดถือครอบครองที่ดินของนายเต๊กเกียงไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น.

Share