คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3405/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นสามีของนาง บ. ได้ซื้อที่ดินพิพาทในคดีนี้มาในระหว่างที่จำเลยที่ 1 อยู่กินเป็นสามีภริยากับนาง บ. เมื่อจำเลยที่ 1ไม่มีหนังสือสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับนาง บ. ที่ทำไว้เป็นพิเศษก่อนสมรสอันจะให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 มาแสดงจึงต้องสันนิษฐานว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนาง บ. เมื่อนาง บ. ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทแบ่งส่วนสินสมรสของจำเลยที่ 1 ออกแล้ว ส่วนของนาง บ. ย่อมเป็นกองมรดกตกได้แก่ทายาท โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมและเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรมของนาง บ. กำลังฟ้องจำเลยที่ 1 ขอแบ่งทรัพย์มรดกของนาง บ. ซึ่งมีที่ดิน พิพาทแปลงนี้รวมอยู่ด้วย จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 เอาที่ดินพิพาทดังกล่าวไปจำนองไว้กับจำเลยที่ 2 ในขณะที่กำลังพิพาทเป็นความเรื่องมรดกกับโจทก์อยู่โดยการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ 2 อันเป็นโมฆะกรรม เช่นนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียก็ย่อมจะกล่าวอ้างขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133 โดยฟ้องขอให้เพิกถอนโมฆะกรรมนี้เสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๒ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจำนองโฉนดที่ ๖๒๑๓ พร้อมบ้านไว้กับจำเลยที่ ๒ ระบุในสัญญาจำนองว่าเพื่อเป็นประกันเงินกู้ ๖๐,๐๐๐ บาท แต่ความจริงจำเลยที่ ๒ ไม่ได้มอบเงินที่กู้ให้จำเลยที่ ๑ และทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ในกองมรดกของนางบุญช่วยอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ซึ่งโจทก์และทายาทอื่นมีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่ง เมื่อเดือนมกราคม๒๕๑๒ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกของนางบุญช่วยจำเลยที่ ๑ ให้การว่านางบุญช่วยและจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันกู้เงินจำเลยที่ ๒ ไป๑๐๐,๐๐๐ บาท นางบุญช่วยได้นำเงินจำนวนนี้ฝากธนาคารออมสินไว้จนถึงแก่กรรมจำเลยที่ ๒ เร่งรัดหนี้สินจำเลยที่ ๑ ได้ชำระให้บางส่วน คงค้างอยู่ ๖๐,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจำนองดังกล่าวซึ่งไม่เป็นความจริง สัญญาจำนองที่ทำขึ้นจึงเป็นการสมคบสมรู้ทำนิติกรรมลวง โดยไม่มีเจตนาจะผูกพันกันตามสัญญาทำให้โจทก์และทายาทอื่น ๆ เสียหายจากการที่จะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์รายนี้จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า สัญญาจำนองที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ พร้อมบ้านเป็นโมฆะและให้เพิกถอนสัญญาจำนองเสียด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางบุญช่วย ได้ร่วมกันกู้เงินจำเลยที่ ๒ ไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเอาไปหาผลประโยชน์ให้ผู้อื่นกู้ได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น ระหว่างยังไม่มีผู้มาขอกู้ นางบุญช่วยได้นำไปฝากธนาคารออมสินไว้ เมื่อนางบุญช่วยถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๒ เร่งรัดหนี้รายนี้จำเลยที่ ๑จึงชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ คงค้างอยู่ ๖๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้ความมั่นใจที่จำเลยที่ ๒ จะได้รับชำระหนี้ จำเลยที่ ๑ จึงนำที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ ซึ่งจำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์จำนองเป็นประกันเงินกู้ ๖๐,๐๐๐ บาท นี้ไว้กับจำเลยที่ ๒การจำนองดังกล่าวได้กระทำโดยสุจริต นางบุญช่วยไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยโจทก์ไม่เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยทั้งสอง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองแสดงเจตนาลวงทำนิติกรรมจำนอง จึงเพิกถอนไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓พร้อมบ้านระหว่างจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจำนองที่ดินพร้อมบ้านรายพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันทำขึ้นโดยมิได้มีหนี้ต่อกันและตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ส่วนในปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองในคดีนี้หรือไม่ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความว่า นางบุญช่วย กิ่งวาทีไม่มีบุตร โจทก์เป็นน้องร่วมบิดามารดากันกับนางบุญช่วย กิ่งวาที ไม่ปรากฏว่าบิดามารดาของโจทก์และนางบุญช่วยยังมีชีวิตอยู่และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ขอแบ่งทรัพย์มรดกของนางบุญช่วย กิ่งวาที ในฐานะที่ตนเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรมของนางบุญช่วย กิ่งวาที ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๖/๒๕๑๒ ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ไว้แล้ว ตามบัญชีทรัพย์มรดกของนางบุญช่วยในคดีดังกล่าว มีที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ รวมอยู่ด้วย จำเลยที่ ๑ เป็นสามีนางบุญช่วยได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ มาในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ อยู่กินเป็นสามีภริยากับนางบุญช่วย เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีหนังสือสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับนางบุญช่วยที่ทำไว้เป็นพิเศษก่อนสมรสอันจะให้เห็นว่าที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ เป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ มาแสดง จึงต้องสันนิษฐานว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑ กับนางบุญช่วย เมื่อนางบุญช่วยถึงแก่กรรม ที่ดินตามโฉนดที่ ๖๒๑๓เมื่อแบ่งส่วนสินสมรสของจำเลยที่ ๑ ออกแล้วส่วนของนางบุญช่วยย่อมเป็นกองมรดกตกได้แก่ทายาท โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมและเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรมของนางบุญช่วย กำลังฟ้องจำเลยที่ ๑ ขอแบ่งทรัพย์มรดกของนางบุญช่วยซึ่งมีที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ แปลงนี้รวมอยู่ด้วย จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ นี้ เมื่อจำเลยที่ ๑ เอาที่ดินโฉนดที่ ๖๒๑๓ดังกล่าวไปจำนองไว้กับจำเลยที่ ๒ ในขณะที่กำลังพิพาทเป็นความเรื่องมรดกกับโจทก์อยู่โดยการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ ๒ อันเป็นโมฆะกรรมเช่นนี้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียก็ย่อมจะกล่าวอ้างขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓ โดยฟ้องขอให้เพิกถอนโมฆะกรรมนี้เสียได้
พิพากษายืน

Share