แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจำเลยยื่นคำร้องว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผิดสัญญาหมั้นตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฟ้องโจทก์จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 12 ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่มีปัญหาว่าคดีใดจะอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลยุติธรรมอื่นให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปโดยมิได้ดำเนินการดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาให้ส่งสำนวนไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2542 จำเลยทั้งสามได้จัดพิธีหมั้นระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 มอบแหวนเพชร 1 วง ราคา 240,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นของหมั้น ประมาณเดือนสิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 แจ้งโจทก์ที่ 1 ว่าจะขอถอนหมั้นและจะไม่มีการแต่งงานอันเป็นการประพฤติผิดสัญญาหมั้น ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 เป็นกระเทย และไม่ให้ความเคารพจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้เป็นคู่สัญญาหมั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะยื่นคำฟ้องใหม่ยังศาลที่มีเขตอำนาจ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สมควรวินิจฉัยในเบื้องต้นก่อนว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะยื่นคำฟ้องใหม่ยังศาลที่มีเขตอำนาจ เป็นการชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผิดสัญญาหมั้นตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฟ้องโจทก์จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้ศาลวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย ตามคำร้องลงวันที่ 31 ตุลาคม 2545 ดังนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 12 ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่มีปัญหาว่าคดีใดจะอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลยุติธรรมอื่นให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปโดยมิได้ดำเนินการดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และเมื่อคดีนี้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรส่งสำนวนคดีนี้ไป ให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดตามบทกฎหมายดังกล่าวต่อไป คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่าศาลชั้นต้นสั่งค่าธรรมเนียมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ส่งสำนวนคดีนี้ไป ให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ เมื่ออ่านคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาในปัญหาดังกล่าวแล้ว หากคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นก็ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 15 แต่ถ้าคดีอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นก็ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ