คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3398/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกา และคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาว่า รอฟังคำสั่ง ศาลอุทธรณ์ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง ต่อมาผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่นั่งพิจารณาคดีนี้ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้อง ขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถานั้นเสียโดยไม่ต้องไต่สวนคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสามแต่ศาลชั้นต้นต้องกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนดก่อน เมื่อถึงกำหนดแล้วไม่ชำระจึงจะสั่งในฎีกาของจำเลยว่ารับหรือไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18ศาลชั้นต้นยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเสียในตอนนี้ เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้องและศาลอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)(2)ประกอบด้วยมาตรา 247 แก้ไขให้ถูกต้องโดยให้ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาของจำเลยเสียใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท ให้ส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ 17 กันยายน 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยยื่นฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายพร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีนี้รับรองฎีกา และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องที่ขอให้รับรองฎีกาว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วจึงไม่จำเป็นต้องไต่สวน และสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นฎีกาและขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้จำเลยไม่อาจฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดี รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถานั้นศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาและคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาว่ารอฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง ต่อมาปรากฏว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีนี้ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นจึงสั่งในคำฟ้องฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ (ที่ถูกคือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดี) มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับรองฎีกา ให้ยกคำร้องแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยส่วนคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์ (ที่ถูกคือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดี) ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวน ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา ชอบแล้วเพราะเมื่อเห็นว่าจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถานั้นเสียโดยไม่ต้องไต่สวนคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสามแต่ศาลชั้นต้นต้องกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนดก่อน เมื่อถึงกำหนดแล้วไม่ชำระจึงจะสั่งในฎีกาของจำเลยว่ารับหรือไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18ศาลชั้นต้นยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเสียในตอนนี้เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง และศาลอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 247 แก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 2540และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม

Share