คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3397/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผลแห่งการกระทำละเมิด ทำให้สังกะสีที่โจทก์บรรทุกรถมาแตกเสียหายและสูญหาย โดยบรรยายขนาดของสังกะสีแต่ละขนาดและจำนวนแผ่นของสังกะสีขนาดนั้น ๆ ที่เสียหายและสูญหาย รวมทั้งราคาของสังกะสีดังกล่าว และราคาของทรัพย์สินอื่นที่ได้รับความเสียหายดังนี้เป็นฟ้องที่แจ้งชัดแล้ว โจทก์ไม่จำต้องแสดงหลักฐานการแจ้งความแก่ตำรวจหรือแนบสำเนารายการทรัพย์สินที่เสียหายมาท้ายฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างบรรทุกสินค้าย่อมจะต้องมีความรับผิดต่อผู้ว่าจ้างบรรทุกสินค้า จึงย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุให้รับผิดในผลละเมิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างผู้ขับรถ สำหรับความเสียหายของสินค้าที่รับจ้างมาอยู่แล้วข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าจะเป็นของ ต. ตามที่โจทก์อ้างหรือไม่จึงไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2
ปัญหาที่ว่ารถโจทก์บรรทุกสังกะสีมาเป็นจำนวนเท่าใดและเหตุที่เกิดขึ้นทำให้สังกะสีต้องบุบสลายเสียหายไปเป็นจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยมา ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ทรัพย์สินของโจทก์ต้องบุบสลาย เสียหายและสูญหายเพราะเกิดจากผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างด้วยโดยตรง แม้คนของโจทก์หรือคนของจำเลยที่ 2 ต่างก็ไม่สามารถคุ้มครองทรัพย์สินเหล่านั้นได้ความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดไม่ใช่เหตุสุดวิสัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ มาตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ล้ำกึ่งกลางถนนเข้าไปในทางรถยนต์ของโจทก์ แล้วพุ่งเข้าเฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์ ทำให้รถยนต์บรรทุกทั้งสองคันตกลงไปทางด้านซ้ายของถนน สินค้าที่บรรทุกมาในรถยนต์บรรทุกของโจทก์แตกกระจายเสียหาย และสูญหายไป คือ สังกะสีลอนใหญ่ขนาด ๕ ฟุต จำนวน ๔๐ แผ่น ราคา๑,๒๖๐ บาท สังกะสีลอนใหญ่ขนาด ๖ ฟุต จำนวน ๒,๔๘๐ แผ่น ราคา ๙๓,๗๔๔ บาทสังกะสีลอนใหญ่ ขนาด ๗ ฟุต จำนวน ๑,๖๕๐ แผ่น ราคา ๗๒,๗๖๕ บาท สังกะสีลอนใหญ่ ขนาด ๑๐ ฟุตจำนวน ๗๐ แผ่นราคา ๔,๔๑๐ บาท ผ้าใบคลุมรถยนต์ ๑ ผืน ราคา ๕,๐๐๐ บาท วิทยุเทปติดรถแม่แรงยกรถและทรัพย์สินอื่น ๆ เป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท รวมทรัพย์สินที่หายทั้งสิ้น ๑๘๙,๖๘๙ บาท และเรียกค่าเสียหาย ที่ทำให้รถยนต์บรรทุกของโจทก์ไม่สามารถใช้งานบรรทุกสินค้าได้เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายดังกล่าว พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไป
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ไปชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์จริง แต่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทสินมั่นคงประกันภัยแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องอ้างจำนวนทรัพย์สินที่เสียหายมาลอย ๆ ไม่มีเอกสารมาแสดง ไม่บรรยายฟ้องว่าทรัพย์สินเสียหายอย่างใดเพราะเหตุใด หากโจทก์เสียหายจริง จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิดเพราะหลังจากเกิดเหตุแล้ว ชาวบ้านมาปล้นเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดสังกะสีคืนจากคนร้ายได้ ๑๕๒ แผ่น ค่าเสียหายที่โจทก์ไม่สามารถนำรถยนต์บรรทุกไปใช้งานได้เป็นเงินเพียง ๔,๐๐๐ บาท และโจทก์จำเลยได้ตกลงกันแล้วว่าไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ต่อกัน ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๒๐๒,๔๘๗.๓๒ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิด จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้เสร็จ และให้จำเลยทั้งสองเสียค่าฤชาธรรมเนียม โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๑,๕๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แจ้งชัดแล้วว่าสังกะสีที่โจทก์บรรทุกรถมาแตกเสียหายและสูญหาย โดยได้บรรยายขนาดของสังกะสีแต่ละขนาด และจำนวนแผ่นของสังกะสีขนาดนั้น ๆ ที่เสียหายและสูญหายรวมทั้งราคาของสังกะสีดังกล่าวด้วย และรวมทั้งราคาของผ้าใบคลุมรถ และวิทยุเทปติดรถ แม่แรงยกรถกับทรัพย์สินอื่น ๆ โจทก์ไม่จำต้องแสดงหลักฐานการแจ้งความแก่ตำรวจมาในฟ้องรวมทั้งไม่จำต้องแนบสำเนารายการทรัพย์สินที่เสียหายมาท้ายฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ ฎีกาต่อมาว่าเชื่อไม่ได้ว่านายแตน ศรีมนัส พยานโจทก์เป็นเจ้าของสังกะสีเห็นว่านายแตนเป็นเจ้าของสังกะสีหรือไม่ก็ตาม โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างบรรทุกสินค้าดังกล่าว ย่อมจะต้องมีความรับผิดต่อผู้ว่าจ้างบรรทุก จึงย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุให้รับผิดในผลละเมิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ผู้ขับรถอยู่แล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๒ ในข้อนี้จึงไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒
ปัญหาที่ว่ารถโจทก์บรรทุกสังกะสีมาเป็นจำนวนเท่าใดและเหตุที่เกิดขึ้นทำให้สังกะสีต้องบุบสลาย เสียหายไปเป็นจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยมา ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙
จำเลยที่ ๒ ฎีกาต่อมาว่า หลังจากเกิดเหตุได้มีชาวบ้านจำนวนมากออกมายื้อแย่งเอาทรัพย์สินและสังกะสีไป สุดความสามารถที่คนขับรถและคนท้ายรถของโจทก์และจำเลยที่ ๒ จะห้ามปรามได้ จึงถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเห็นว่าความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้เนื่อมาจากทรัพย์สินของโจทก์ต้องบุบสลายเสียหายและสูญหายเพราะเกิดจากผลบแห่งการละเมิดของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างด้วยโดยตรง แม้คนของโจทก์หรือคนของจำเลยที่ ๒ ต่างก็ไม่สามารถคุ้มครองทรัพย์สินนั้นได้ ความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ฯลฯ
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาทแทนโจทก์

Share