คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3394/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจ้างกับจำเลยโดยมีระยะเวลาการทำงาน 10 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลาจำเลยจะจ่ายค่าชดเชยตามระยะเวลาการทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสองและเรียกให้โจทก์ทั้งสองมาทำสัญญาจ้างแรงงานฉบับใหม่ สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยจึงมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาแต่ละคราว การที่ในระหว่างสัญญาจ้างสหภาพแรงงานรถยนต์มิตซูบิชิแห่งประเทศไทยมีมติแต่งตั้งให้โจทก์ทั้งสองเป็นกรรมการลูกจ้างในวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 นั้น โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 ในการห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน แต่การที่จำเลยไม่ต่อสัญญาจ้างฉบับใหม่กับโจทก์ทั้งสองถือเป็นกรณีระยะเวลาตามสัญญาจ้างสิ้นสุดลงอันส่งผลให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยต้องเลิกกันตามผลของสัญญา ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยกลั่นแกล้งไม่ต่ออายุสัญญาจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับที่จำเลยจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อนตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 และไม่จำต้องรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงาน

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานภาค 2 สั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม และบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างอัตราสุดท้ายแก่โจทก์ที่ 1 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2557 ถึงเดือนมกราคม 2558 เป็นเงิน 51,150 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ถึงเดือนมกราคม 2558 เป็นเงิน 40,920 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่สิ้นเดือนกันยายน 2557 จนกว่าชำระเสร็จจากต้นเงินค่าจ้างดังกล่าวในแต่ละเดือน เงินสมทบแก่สำนักงานประกันสังคมในอัตราเดือนละ 557 บาท ต่อคน แก่โจทก์ที่ 1 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2557 ถึงเดือนมกราคม 2558 รวม 2,785 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ถึงเดือนมกราคม 2558 รวม 2,228 บาท พร้อมเบี้ยปรับการส่งล่าช้า ค่าเช่าบ้านแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 4,500 บาท แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 3,600 บาท เบี้ยขยันประจำเดือนแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 2,500 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 2,000 บาท เบี้ยขยันประจำปี 2557 แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 2,500 บาท เงินโบนัสประจำปี 2557 แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 46,722.50 บาท ค่าสัญญาหรือค่าต่อสัญญาแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวตามลำดับนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามที่คู่ความแถลงรับกันและตามที่ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังมาว่า สถานประกอบการของจำเลยมีพนักงานระดับปฏิบัติการ 2 ลักษณะ คือ พนักงานชั่วคราวที่มีระยะเวลาการจ้างที่แน่นอน และพนักงานประจำ โดยพนักงานชั่วคราวเมื่อผ่านการปฏิบัติงานอย่างน้อย 2 ปี จำเลยจะคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นพนักงานประจำต่อไป โจทก์ที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2552 โจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 สัญญาจ้างโจทก์ทั้งสองแต่ละฉบับมีระยะเวลา 10 เดือน ซึ่งเมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างแล้ว เมื่อมีการต่อสัญญาจ้างจำเลยจะจ่ายค่าชดเชยในการทำงานตามสัญญาเดิม และเพิ่มค่าจ้างให้พนักงานในสัญญาใหม่ 300 บาท ต่อเดือน ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ทั้งสองต่อสัญญาจ้างกับจำเลยรวม 6 ฉบับ ฉบับสุดท้ายของโจทก์ที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 19 กันยายน 2557 โจทก์ที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 จากนั้นจำเลยไม่ต่อสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสอง ก่อนสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสองฉบับสุดท้ายครบกำหนด สหภาพแรงงานรถยนต์มิตซูบิชิแห่งประเทศไทยมีมติแต่งตั้งโจทก์ทั้งสองเป็นกรรมการลูกจ้างในวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองเป็นกรรมการลูกจ้าง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยมิได้ขออนุญาตศาลแรงงานจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 แต่เห็นว่าโจทก์ทั้งสองกับจำเลยไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลยตามสัญญาจ้างซึ่งมีกำหนดระยะเวลาการจ้าง และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเมื่อครบกำหนดระยะเวลาจ้างตามสัญญาจ้างฉบับสุดท้าย สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยเลิกกันแล้ว จึงไม่เห็นควรพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานต่อไป ส่วนที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองต้องไปดำเนินการต่างหาก โจทก์ทั้งสองไม่อาจขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามฟ้องได้อีก
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่จำเลยไม่ต่อสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสองทำให้สัญญาจ้างสิ้นสุดตามกำหนดระยะเวลาจ้างนั้น จำเลยต้องขออนุญาตต่อศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า คดีของโจทก์ทั้งสองเป็นการสิ้นสุดของสัญญาจ้างตามกำหนดระยะเวลา ซึ่งเป็นการที่โจทก์ทั้งสองพ้นสภาพการจ้างโดยผลของสัญญา จำเลยจึงไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลแรงงาน นั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจ้างกับจำเลยโดยมีระยะเวลาการทำงาน 10 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลาจำเลยจะจ่ายค่าชดเชยตามระยะเวลาการทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสอง และเรียกให้โจทก์ทั้งสองมาทำสัญญาจ้างแรงงานฉบับใหม่ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยจึงมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาแต่ละคราว การที่ในระหว่างสัญญาจ้างสหภาพแรงงานรถยนต์มิตซูบิชิแห่งประเทศไทยมีมติแต่งตั้งโจทก์ทั้งสองเป็นกรรมการลูกจ้างในวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 นั้น โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 ในการห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน แต่การที่จำเลยไม่ต่อสัญญาจ้างฉบับใหม่กับโจทก์ทั้งสอง อันส่งผลให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยต้องสิ้นสุดไปตามกำหนดระยะเวลาการจ้างที่ตกลงกันไว้ก่อนนั้น ถือเป็นกรณีระยะเวลาตามสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเป็นผลให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยต้องเลิกกันตามผลของสัญญา ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยกลั่นแกล้งไม่ต่ออายุสัญญาจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับที่จำเลยจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 และจำเลยไม่จำต้องรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงาน ที่ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง และปัญหาอื่นตามอุทธรณ์ของจำเลย ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน

Share