แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินกับบ้านพิพาทบนที่ดินดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว แม้จะฟังว่าที่ดินกับบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับ ส. การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของเจ้าของรวมจะมีผลผูกพันในส่วนของเจ้าของรวมคนใดโดยไม่ผูกพันในส่วนของเจ้าของรวมคนอื่นนั้น จะต้องเป็นการทำนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงแต่ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นเท่านั้นนิติกรรมนั้นจึงจะมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของผู้ทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรก แต่คดีนี้ส. ใช้ใบมอบอำนาจปลอมดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังนั้น จึงถือได้ว่านิติกรรมทั้งหมดไม่มีผลผูกพันโจทก์ และต้องถือว่านิติกรรมซื้อขายกับจำนองที่ดินและบ้านพิพาทมิได้เกิดขึ้นโจทก์จึงมีอำนาจขอให้เพิกถอนการโอนทั้งหมด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว โจทก์ได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับธนาคารทหารไทย จำกัดเพื่อเป็นประกันหนี้สินต่าง ๆ ของโจทก์และนายสุภกิจ เรืองฤทธิ์ สามีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาโจทก์ทราบว่านายสุภกิจได้ทำการไถ่ถอนจำนองที่ดินและบ้านของโจทก์แล้วโอนขายให้จำเลยที่ 1 และในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองไว้กับจำเลยที่ 2 โดยอาศัยใบมอบอำนาจ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ทำใบมอบอำนาจดังกล่าวให้นายสุภกิจไปทำการไถ่ถอนจำนองที่ดิน และจดทะเบียนขายต่อให้จำเลยที่ 1แต่อย่างใด ขอให้เพิกถอนการโอนและจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ถ้าไม่สามารถเพิกถอนจำนองได้ให้จำเลยที่ 1ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินและบ้านโจทก์กับนายสุภกิจเรืองฤทธิ์ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ขณะที่นายสุภกิจทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 1โจทก์รู้เห็นโดยตลอดและยินยอมให้นายสุภกิจดำเนินการในฐานะตัวแทนโจทก์ การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านได้กระทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่และโดยมีค่าตอบแทน จำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ์ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมรู้เห็นหรือร่วมทุจริตในการปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจที่จะนำไปจำนองไว้กับจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์และนายสุภกิจได้ร่วมกันกู้เงินมาซื้อที่ดินแปลงพิพาท แต่ได้จดทะเบียนใส่ชื่อไว้ในสารบัญโฉนดที่ดินเป็นชื่อของโจทก์เพียงผู้เดียว โจทก์และนายสุภกิจเรืองฤทธิ์ จึงมีอำนาจร่วมกันและแทนกันจัดการที่ดินดังกล่าวได้ต่อมาโจทก์และนายสุภกิจ เรืองฤทธิ์ ได้ร่วมกันและแทนกันโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ 1ได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนั้นไว้กับจำเลยที่ 2โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 เชื่อว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อปลอม และได้ดำเนินการจดทะเบียนจำนองถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งกระทำโดยสุจริตและมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อสมคบกับบุคคลใดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์โดยนายสุภกิจ (น่าจะเป็นสุภกิจ เรืองฤทธิ์ กับจำเลยที่ 1และเพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาท และให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิมหากไม่สามารถเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ที่ดินและบ้านพิพาทนายสุภกิจเป็นเจ้าของร่วมกับโจทก์ เพราะได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกันกับโจทก์แม้จะมิได้จดทะเบียนสมรส นายสุภกิจกับโจทก์ย่อมมีอำนาจจัดการที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมได้การทำนิติกรรมจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายสุภกิจที่ได้กระทำไปแล้วย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่สามารถขอให้เพิกถอนการโอนในส่วนนี้ได้นั้น เห็นว่า แม้จะฟังว่าที่ดินกับบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับนายสุภกิจการทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของเจ้าของรวมจะมีผลผูกพันในส่วนของเจ้าของรวมคนใดโดยไม่ผูกพันในส่วนของเจ้าของรวมคนอื่นนั้นจะต้องเป็นการทำนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงแต่ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นเท่านั้น นิติกรรมอันนั้นจึงจะมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของผู้ทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1361 วรรคแรก แต่สำหรับคดีนี้เป็นกรณีที่นายสุภกิจได้ใช้ใบมอบอำนาจปลอม ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ดังนั้นจึงถือได้ว่านิติกรรมทั้งหมดไม่มีผลผูกพันโจทก์ และต้องถือว่านิติกรรมซื้อขายกับจำนองที่ดินและบ้านพิพาทมิได้เกิดขึ้น ต่างกับกรณีที่เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่มิได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นดังได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจขอให้เพิกถอนการโอนทั้งหมดได้
พิพากษายืน