แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 มาตรา 30 วรรค 2 และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 68,70 ได้ให้อำนาจแก่ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอในการปกครองบังคับบัญชาข้าราชการส่วนจังหวัดซึ่งประจำอยู่ ณ กิ่งอำเภอนั้นได้ ฉะนั้น เมื่อปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอได้มีคำสั่งกำหนดหน้าที่การงานให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานบัญชีประจำกิ่งอำเภอนั้นมีหน้าที่ผิดชอบในงานจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ การที่จำเลยเบียดบังเอาเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ซึ่งตนได้รับไว้ในตำแหน่งหน้าที่ไป จึงเป็นการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของจำเลยโดยตรง จำเลยจะเถียงว่าไม่ได้กระทำในฐานะเจ้าพนักงานหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เก็บเงินภาษีบำรุงท้องที่กิ่งอำเภอบางชุมน้อยได้รับเงินภาษีบำรุงท้องที่ไว้ทั้งหมด ๙๑,๓๙๐.๔๘ บาท แต่นำส่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพียง ๒๓,๐๐๐ บาท โดยจำเลยเบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ๖๘,๓๙๐.๔๘ บาท โดยทุจริต อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗,๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓,๑๓ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๖๘,๓๙๐.๔๘ บาท แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ ลงโทษจำคุก ๒ ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยชดใช้เงินคืนนั้น ให้ไปฟ้องกันในทางแพ่งต่อไป
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓ ลงโทษจำคุก ๗ ปี และให้จำเลยคืนเงิน ๖๘,๓๙๐.๔๘ บาท แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบียดบังเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ไปเป็นจำนวน ๕๖,๓๗๓.๖๗ บาท
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนที่จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่าแม้จะฟังว่าจำเลยเบียดบังไปก็น่าจะเป็นผิดฐานบุคคลธรรมดายักยอก ไม่ใช่ เจ้าพนักงานยักยอก เพราะไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ช่วยหัวหน้าหมวดการคลังนั้น ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติระเบียบบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๓๐ วรรค ๒ บัญญัติว่าให้นายอำเภอตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการส่วนจังหวัด และมีหน้าที่ในการบริหารกิจการส่วนจังหวัดในเขตอำเภอนั้น นอกจากนี้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๖๘ ยังบัญญัติว่า นายอำเภอมีอำนาจในส่วนธุรการฝ่ายพลเรือนเหนือข้าราชการทุกแผนกที่ประจำรักษาราชการในอำเภอนั้น
สำหรับจำเลยนี้ซึ่งเป็นข้าราชการตำแหน่งพนักงานบัญชีประจำกิ่งอำเภอนั้น ย่อมอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๗๐ ซึ่งบัญญัติว่า “พนักงานปกครองกิ่งอำเภอจะมีกรมการอำเภอรองแต่นายอำเภอตำแหน่งใดอยู่ประจำการ และจะมีเสมียนพนักงานอยู่ประจำการที่กิ่งอำเภอเท่าใด ทั้งนี้แล้วแต่จะสมควรแก่ราชการ แต่ผู้ที่เป็นใหญ่อยู่ประจำการที่กิ่งอำเภอต้องอยู่ในบังคับนายอำเภอและทำการในหน้าที่ในเวลาที่นายอำเภอมิได้มาอยู่ที่กิ่งอำเภอเหมือนเป็นผู้แทนนายอำเภอฉะนั้น”
ตามกฎหมายดังกล่าวแล้วแสดงว่ากฎหมายได้ให้อำนาจแก่ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอในการปกครองบังคับบัญชาข้าราชการส่วนจังหวัดซึ่งประจำอยู่ ณ กิ่งอำเภอนั้นได้ ฉะนั้น เมื่อปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอได้มีคำสั่งกำหนดหน้าที่การงานให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานบัญชีมีหน้าที่รับผิดชอบในงานจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ตามคำสั่งหมาย จ.๑, จ.๒ ในคดีนี้การที่จำเลยเบียดบังเอาเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ซึ่งตนได้รับไว้ในตำแหน่งหน้าที่ไปจึงเป็นการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของจำเลยโดยตรง จำเลยจะเถียงว่าไม่ได้กระทำในฐานะเจ้าพนักงานหาได้ไม่ อย่างไรก็ตาม ทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยได้ถูกลงโทษในข้อหาเบียดบังเงินค่าภาษีโรงเรือนและภาษีป้ายอีกคดีหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดโทษจำเลยเท่ากันทั้ง ๒ คดี
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๕ ปี และให้จำเลยคืนเงิน ๕๖,๓๗๓.๖๗ บาทแก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์