คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3373/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างของ บ.ผู้ตายจะเรียกให้ บ. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ บ. ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างได้ โจทก์จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปนั้น จึงจะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ชดใช้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วคืนจากลูกจ้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอก โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยในฐานะทายาทของ บ. ชดใช้หนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทองค์การของรัฐ มีวัตถุประสงค์รับขนส่งสินค้า นายบุญธรรม ปัญญาครอง เป็นลูกจ้างโจทก์ทำหน้าที่พนักงานขับรถบรรทุกขนส่งสินค้า นายบุญธรรมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2543 จำเลยทั้งสามเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายบุญธรรมผู้ตาย วันที่ 21 กรกฎาคม 2527 ผู้ตายได้ขับรถยนต์ของโจทก์โดยประมาท เป็นเหตุให้สินค้าที่บรรทุกหล่นลงมาจากรถ เจ้าของสินค้าได้ฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้วเป็นเงิน 2,066,300 บาท โจทก์ให้ผู้ตายรับผิดเป็นเงิน 672,800 บาท ผู้ตายผ่อนชำระหนี้บางส่วนแล้วคงเหลือหนี้อยู่ 406,227.15 บาท วันที่ 10 เมษายน 2536 ผู้ตายขับรถส่งสินค้าของโจทก์ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้สินค้าที่บรรทุกหล่นมาจากรถ เจ้าของสินค้าได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์และผู้ตายศาลพิพากษาให้โจทก์และผู้ตายชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 4,025,544 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม โจทก์กำลังเจรจาขอผ่อนชำระให้ฝ่ายเจ้าของสินค้าอยู่ รวมเป็นค่าเสียหายที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นเป็นเงิน 4,431,771.15 บาท โจทก์ได้ตรวจพบว่าผู้ตายมีเงินบำเหน็จและเงินเดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตายจึงนำมาหักหนี้แล้ว คงเหลือหนี้อยู่ 4,089,171.15 บาท ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ให้อีก10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,079,171.15 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามขาดนัดและขาดนัดพิจารณา

ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นองค์การของรัฐ มีวัตถุประสงค์รับขนส่งสินค้า นายบุญธรรม ปัญญาครอง เป็นลูกจ้างโจทก์ ได้สมัครเข้าทำงานตั้งแต่ปี 2517 ปรากฏตามใบสมัครงานเอกสารหมาย จ.1 นายบุญธรรมถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2543 ปรากฏตามมรณบัตรเอกสารหมาย จ.2 จำเลยทั้งสามเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ปรากฏตามคำร้องขอรับเงินของทายาทเอกสารหมาย จ.3 วันที่ 21 กรกฎาคม 2527 ผู้ตายขับรถบรรทุกเครื่องทำน้ำตาลจากคลองเตยไปจังหวัดชัยภูมิ ผู้ตายประมาททำให้ของที่บรรทุกตกลงมาจากรถเสียหายผู้ว่าจ้างได้ฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหายต่อศาลแพ่ง คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.4 โจทก์ได้ชดใช้หนี้ตามคำพิพากษาไปแล้วเป็นเงิน 2,000,000 บาทเศษ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 หนี้รายนี้โจทก์ให้ผู้ตายร่วมรับผิดเป็นเงิน 672,800 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 ผู้ตายผ่อนชำระแล้วบางส่วนคงเหลือหนี้อยู่ 400,000 บาทเศษ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ. 7 วันที่ 10 เมษายน 2536 ผู้ตายขับรถส่งสินค้าโดยประมาททำให้สินค้าเครื่องทำน้ำเย็นตกลงมาจากรถได้รับความเสียหาย ผู้เสียหายเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 4,000,000 บาทเศษปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8 ต่อมาผู้เสียหายได้ฟ้องโจทก์และผู้ตายต่อศาลแพ่ง ศาลพิพากษาให้โจทก์และผู้ตายใช้หนี้ค่าเสียหายเป็นเงิน 4,000,000 บาทเศษ ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.9 โจทก์คดีนี้ยื่นอุทธรณ์ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณา และโจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.9 ก่อนฟ้องโจทก์เรียกร้องให้นายปุ่น ศรีสุราช ผู้ค้ำประกันในวงเงิน 10,000 บาท ชำระหนี้ นายปุ่นได้ชำระหนี้ให้โจทก์อีก 10,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10 ผู้ตายมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จและค่าจ้างเดือนสุดท้าย โจทก์ได้นำเงินดังกล่าวไปหักชำระหนี้เก่าแล้วปรากฏตามเอกสารหมาย จ.11 เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.4ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นบุตรและทายาทของผู้ตายชำระหนี้จำนวนดังกล่าวคืนโจทก์ได้ ส่วนหนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.9 โจทก์ยังมิได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามในฐานะทายาทนายบุญธรรม ปัญญาครองผู้ตายร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 53,627.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2544 (วันฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ แต่ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่จำเลยทั้งสาม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสามในฐานะทายาทของนายบุญธรรมผู้ตายร่วมกันชดใช้หนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.9 ให้แก่โจทก์หรือไม่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.9 ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างของนายบุญธรรมผู้ตายซึ่งเป็นลูกจ้างจะเรียกให้ลูกจ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ลูกจ้างก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างได้นั้น โจทก์จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงจะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ชดใช้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วคืนจากลูกจ้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 ซึ่งบัญญัติมีใจความว่า นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกที่ลูกจ้างได้ทำละเมิด ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.9 ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสามในฐานะทายาทของผู้ตายชดใช้หนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share