คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5310/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ที่ดินจะเป็นที่สาธารณะ แต่เมื่อโจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองอยู่และได้ปลูกต้นมะม่วงไว้ การที่จำเลยตัดฟันต้นมะม่วงดังกล่าวโจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย จึงมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตัดฟันต้นมะม่วงของนายเผือเสียหาย 1 ต้น ราคา 500 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358

จำเลยให้การปฏิเสธ

นายเผือ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกและปรับแต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ต้นมะม่วงพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินสาธารณประโยชน์แม้จะฟังว่าโจทก์ร่วมปลูกต้นมะม่วงดังกล่าว แต่ต้นมะม่วงเป็นไม้ยืนต้น จึงเป็นส่วนควบกับที่ดินสาธารณประโยชน์ ต้นมะม่วงพิพาทจึงเป็นของรัฐ โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ไม่ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ตัดฟันต้นมะม่วงพิพาทจริง และต้นมะม่วงนั้นปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์ร่วมครอบครองมาทั้งต้นมะม่วงในบริเวณที่ดินดังกล่าวก็มีอยู่เป็นจำนวนมากประมาณ 20 ต้นข้อที่จำเลยนำสืบว่าต้นมะม่วงเกิดขึ้นเองนั้นก็คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยและนายดวง สิงห์ทอง สามีจำเลยเท่านั้น จึงเป็นการเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ น่าเชื่อว่าจำเลยรู้ว่าต้นมะม่วงพิพาทที่โจทก์ร่วมปลูกไว้ในที่ดินที่โจทก์ร่วมครอบครองการที่จำเลยตัดฟันต้นมะม่วงของโจทก์ร่วมดังกล่าวแม้จะปลูกอยู่ในที่สาธารณะก็ตาม โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย และมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share