แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า เช็คพิพาทจำเลยมิได้ลงวันที่สั่งจ่าย แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายในภายหลังและจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเช็คพิพาทจำเลยกรอกข้อความและลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาเรียบร้อยแล้ว คงมาลงวันที่ในเช็คดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ร่วมโดยจำเลยเป็นผู้เขียนด้วยตนเอง คำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวแม้โจทก์ร่วมมิได้เบิกความไว้แต่ต้น แต่ก็เป็นรายละเอียดของข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับหรือไม่ จึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงแล้วหยิบยกมาวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานขัดต่อกฎหมาย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผู้พิพากษาลงนามคนเดียว เนื่องจากผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีก 2 คน ซึ่งลงนามเป็นองค์คณะในต้นร่างคำพิพากษาย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นเสียก่อนที่จะลงลายมือชื่อในคำพิพากษา แต่ผู้พิพากษา 2 คนนั้นได้ร่วมปรึกษาและมีความเห็นพ้องกันดังที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้บันทึกต่อท้ายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อันเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 วรรคสองประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางรัฐวรรณ ธีระพงษ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เช็คเอกสารหมาย จ.2จำคุก 1 ปี เช็คเอกสารหมาย จ.3 จำคุก 6 เดือน รวม 2 กระทงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยกรอกข้อความและลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาเรียบร้อยแล้ว คงมาลงวันที่ในเช็คดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ร่วมโดยจำเลยเป็นผู้เขียนด้วยตนเองนั้น เป็นการรับฟังพยานหลักฐานขัดต่อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยมิได้ลงวันที่สั่งจ่าย แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายในภายหลัง และจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ดังนั้น ข้อความตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวแม้มิได้เบิกความไว้แต่ต้น แต่ก็เป็นรายละเอียดของข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเอามาวินิจฉัยจึงเป็นการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคหนึ่ง
ปัญหาข้อต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผู้พิพากษาลงนามคนเดียวไม่ครบองค์คณะตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีก 2 คน ได้ลงนามในต้นร่างคำพิพากษาแล้ว แต่ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นเสียก่อนที่จะลงลายมือชื่อในคำพิพากษาฉบับดังกล่าว โดยได้ร่วมปรึกษาและมีความเห็นพ้องกันดังบันทึกของรองประธานศาลฎีกาช่วยทำงานในตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อท้ายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 วรรคสองประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แล้วถือได้ว่ามีการร่วมปรึกษาครบองค์คณะตามกฎหมายและเป็นคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน