คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3372/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกด้านหลังของหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพากษากำหนดเงื่อนไขว่าโจทก์ขายฝากต้องนำเงินค่าไถ่ถอนไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาขายฝาก หากไม่สามารถติดตามตัวจำเลยผู้ซื้อฝากเพื่อขอไถ่ถอนได้นั้น หากปรากฎว่าโจทก์ ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนที่ดินพิพากษาตามกำหนดเวลาแล้ว แต่จำเลย หลีกเลี่ยงประวิงเวลาเอาไว้ไม่ให้ไถ่ถอนโจทก์จึงหาจำต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายฝากที่ดินเนื้อที่ 50 ตารางวาไม่รวมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่จำเลยราคา 20,000 บาท กำหนดไถ่ถอนภายใน 6 เดือน คือ ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2529 ครั้นวันที่30 กันยายน 2529 โจทก์นำเงิน 20,000 บาท ไปชำระให้จำเลยเพื่อไถ่ถอนการขายฝาก แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมไถ่ถอนโดยตัวแทนของจำเลยอ้างว่าจำเลยไปจังหวัดเชียงใหม่จะกลับกรุงเทพมหานครในวันที่ 8-9 ตุลาคม 2529 ให้โจทก์ไปไถ่ถอนคืนภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์หลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงไปขอไถ่ถอนในวันที่ 8 ตุลาคม 2529 แต่ตัวแทนของจำเลยอ้างว่าจำเลยยังไม่กลับ รุ่งขึ้นโจทก์ไปพบจำเลยเพื่อขอไถ่ถอนแต่จำเลยไม่ยินยอม เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้วขอให้ศาลบังคับให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากและรับเงินค่าไถ่ถอน 20,000 บาท จากโจทก์ มิฉะนั้นขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายฝากที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยมีกำหนดไถ่ถอนภายใน 6 เดือน จริง แต่โจทก์มิได้ไถ่ถอนคืนตามกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินโฉนดที่ 174386 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครให้ที่ดินกลับคืนเป็นของโจทก์และรับเงินค่าไถ่ถอนจากโจทก์20,000 บาท ถ้าจำเลยไม่ไปจดทะเบียน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาจำเลย ในกรณีที่โจทก์ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์นำเงินค่าไถ่ถอน 20,000 บาทมาวางศาลเสียก่อน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่า โจทก์และภริยาได้เตรียมเงินจำนวน 26,000 บาท ไปเพื่อไถ่ถอนการขายฝากแต่ไม่พบจำเลย ภริยาจำเลยแจ้งว่าจำเลยไปต่างจังหวัดจะกลับในวันที่ 8 หรือที่ 9 ตุลาคม 2529 ซึ่งล่วงพ้นกำหนดไถ่ถอนการขายฝากไปแล้ว แต่ภริยาจำเลยรับรองว่า เมื่อจำเลยกลับมาแล้วยินยอมให้โจทก์ไถ่ถอนการขายฝากและยอมรับเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 2,400 บาท จากโจทก์ แต่เมื่อจำเลยกลับมาแล้วโจทก์ก็ไปพบเพื่อขอไถ่ถอนที่ดินพิพาท จำเลยกลับบอกว่าขาดการไถ่ถอนไปแล้ว แต่จะให้โจทก์เช่าที่ดินพิพาทเดือนละ500 บาท และพูดบ่ายเบี่ยงว่า ต้องปรึกษากรรมการทั้งหมดดูก่อนว่าจะขายคืนให้โจทก์หรือไม่เพราะกรรมการบางคนก็เดินทางไปต่างประเทศต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2529 โจทก์จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก ซึ่งข้อความที่บันทึกไว้ในรายงานประจำวันดังกล่าวก็ระบุข้อเท็จจริงตรงกับที่โจทก์นำสืบมาพยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยพฤติการณ์ของจำเลยเป็นการใช้เพทุบายหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายให้โจทก์หลงจนพ้นกำหนดไถ่ถอนตามสัญญาขายฝากแล้วบอกปัดไม่ยอมให้ไถ่ถอน ทั้งนี้เพราะที่ดินพิพาทมีราคาเกินกว่าจำนวนเงินที่จำเลยรับซื้อฝากมา ข้อเท็จจริงแห่งคดีรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ที่ดินพิพาทแล้วก่อนพ้นกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาขายฝาก ส่วนที่มีบันทึกด้านหลังของหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกำหนดให้โจทก์ต้องนำเงินค่าไถ่ถอนไปวางไว้ณ สำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาขายฝาก หากไม่สามารถติดตามตัวจำเลยเพื่อขอไถ่ถอนได้นั้น เห็นว่า เมื่อได้รับฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนที่ดินพิพาทตามกำหนดเวลาแล้ว แต่จำเลยได้หลีกเลี่ยงประวิงเวลาเอาไว้ไม่ให้ไถ่ถอน โจทก์จึงหาจำต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวแต่อย่างใดไม่
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share