แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2528 จำเลยไปยื่นคำขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยาง ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 จำเลยนำเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินที่ขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยางดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วย จึงเป็นการที่จำเลยได้แสดงต่อเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางและบุคคลอื่นที่พบเห็นในวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 ด้วยว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทเอง และในวันที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวนั้น โจทก์ได้ไปยังที่พิพาทและเห็นหลักแนวเขตที่ดินที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางปักไว้ด้วย จึงเป็นกรณีที่ปรากฏต่อโจทก์ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 แล้วว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาท ดังนั้นหากที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ถูกจำเลยแย่งการครอบครองแล้ว ซึ่งเพียงนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม2528 ถึงวันฟ้องคือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2529 ก็เกินกว่าปีหนึ่งแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าหนังสือของสำนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดนครศรีธรรมราช ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 ศาลชั้นต้นไม่ได้หมายเอกสารดังกล่าวว่าโจทก์หรือจำเลยอ้าง ทั้งไม่มีการเสียค่าอ้างเอกสารด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็นำมาวินิจฉัยจึงไม่ถูกต้องนั้น แม้ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวก็หาทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2529 โจทก์ทราบว่าจำเลยกับพวกนำเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางบุกรุกที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1282 เนื้อที่ประมาณ24 ไร่ 1 งาน 23 ตารางวา โดยเข้าไปรังวัดแผ้วถางและตัดฟันต้นไม้เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์ห้ามปรามและบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนหลักเขตและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินที่จำเลยบุกรุกเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องและให้จำเลยรื้อถอนทรัพย์สินและหลักเขตที่นำมาปักออกไปเสีย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1283 เนื้อที่ 28 ไร่ 16 ตารางวา จำเลยไม่ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยขอทุนสงเคราะห์การทำสวนยางในที่ดินของจำเลย โจทก์ถูกรบกวนการครอบครองเมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2528 โจทก์ฟ้องคดีพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ถูกรบกวนฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาท (ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.9) เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลย บริวารเข้าไปเกี่ยวข้องและให้จำเลยรื้อถอนทรัพย์สินและหลักที่นำมาปักออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่20 มิถุนายน 2528 จำเลยไปยื่นคำขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยางต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 จำเลยนำเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินที่ขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยางดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วยจึงเป็นการที่จำเลยได้แสดงต่อเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางและบุคคลอื่นที่พบเห็นในวันที่16 กรกฎาคม 2528 ด้วยว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทเอง ทั้งโจทก์ก็เบิกความยอมรับว่าในวันที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวนั้น โจทก์ได้ไปยังที่พิพาทด้วย แต่เป็นเวลาหลังจากเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางกลับไปแล้ว และโจทก์เห็นหลักแนวเขตที่ดินที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางปักไว้ด้วย จึงเป็นกรณีที่ปรากฏต่อโจทก์ในวันที่ 16 กรกฎาคม2528 แล้วว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาท ดังนั้นหากที่พิพาทเป็นของโจทก์ดังฟ้อง โจทก์ก็ถูกจำเลยแย่งการครอบครองแล้ว ซึ่งเพียงนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2528 ถึงวันฟ้องคือวันที่ 25 พฤศจิกายน2529 ก็เกินกว่าปีหนึ่งแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าหนังสือของสำนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดนครศรีธรรมราช ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2530ศาลชั้นต้นไม่ได้หมายเอกสารดังกล่าวว่าโจทก์หรือจำเลยอ้าง ทั้งไม่มีการเสียค่าอ้างเอกสารด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็นำมาวินิจฉัยจึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า แม้ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวก็หาทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
พิพากษายืน