คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3367/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์แจ้งต่อพนักงานสอบสวนถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์เห็นว่า จำเลยที่ 1 ถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของโจทก์โดยไม่ถูกต้อง เมื่อโจทก์สอบถามจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ก็ได้ชี้แจงถึงเหตุที่ทางธนาคารจำเลยที่ 1 ต้องหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ของลูกหนี้ที่โจทก์ทำสัญญาค้ำประกันไว้แสดงว่าโจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 คือผู้ที่หักเอาเงินของโจทก์ไปจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ โจทก์จึงไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าโจทก์ได้รู้เรื่องความผิดที่จำเลยทั้งสองกระทำการฉ้อโกงโจทก์ตั้งแต่วันดังกล่าว ส่วนเมื่อโจทก์แจ้งความแล้วพนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งจะเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดทางอาญา ก็เป็นเพียงความเห็นของพนักงานสอบสวน ซึ่งไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงที่ถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงดังกล่าวไปได้โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลา 3 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงและชักนำโจทก์ให้ทำนิติกรรมสัญญาจำนำสิทธิการรับเงินฝากและนิติกรรมสัญญาค้ำประกันหนี้ของผู้ซื้อที่ดินโดยมิได้แจ้งรายละเอียดแก่โจทก์ทำให้โจทก์เป็นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนำสิทธิการรับเงินฝาก รวมต้นเงินและดอกเบี้ยอีกจำนวน 1,942,636.14 บาท และ6,804,992.67 บาท เป็นการสมคบกับผู้อื่น ทำการฉ้อโกงโจทก์โดยทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยการหลอกลวงเช่นว่านั้นจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ตามที่หักบัญชีเงินฝากธนาคารและได้ไปซึ่งสิทธิเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนำสิทธิการรับเงินฝากอีกจำนวน 1,942,636.14 บาท และ 6,804,992.67 บาท โจทก์ทราบเหตุคดีนี้เมื่อวันที่ 22เมษายน 2537 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83, 84, 90, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องทั้งสองสำนวน

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5อนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2537 ที่โจทก์ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนนั้น โจทก์ยังไม่รู้เรื่องความผิด เพราะโจทก์มีเอกสารคือสำเนาบัญชีเงินฝากเอกสารหมาย จ.43 เพียงอย่างเดียวไปแจ้งความทั้งพนักงานสอบสวนก็แจ้งว่ากรณีของโจทก์เป็นเรื่องทางแพ่ง แสดงว่าพนักงานสอบสวนเองก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความผิดอาญา เนื่องจากยังไม่รู้ข้อเท็จจริงละเอียดว่าเป็นมาอย่างไรมีการฉ้อโกงกันอย่างไร เมื่อพนักงานสอบสวนยังไม่รู้ว่าเป็นการกระทำความผิดทางอาญาแล้วโจทก์จะรู้เรื่องความผิดได้อย่างไร เห็นว่า ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.63 (ล.4) ได้มีรายละเอียดที่โจทก์แจ้งต่อพนักงานสอบสวนถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์เห็นว่าทางธนาคารจำเลยที่ 1 ถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของโจทก์โดยไม่ถูกต้อง เมื่อโจทก์สอบถามจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้ชี้แจงถึงเหตุที่ทางธนาคารจำเลยที่ 1 ต้องหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ของลูกหนี้ที่โจทก์ทำสัญญาค้ำประกันไว้ แสดงว่าโจทก์รู้อยู่แล้วว่าธนาคารจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 คือผู้ที่หักเอาเงินของโจทก์ไปจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ โจทก์จึงไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองซึ่งนายพรชัย ภู่ขาว พยานโจทก์ผู้แนะนำให้โจทก์ไปแจ้งความก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายความจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ตั้งใจว่าจะแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในข้อหาฉ้อโกง จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าโจทก์ได้รู้เรื่องความผิดที่จำเลยทั้งสองกระทำการฉ้อโกงโจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2537 ส่วนเมื่อโจทก์แจ้งความแล้วพนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งจะเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดทางอาญา แต่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินการเรียกร้องทางแพ่ง จึงเพียงบันทึกการรับแจ้งความไว้เป็นหลักฐานนั้นก็เป็นเพียงความเห็นของพนักงานสอบสวนซึ่งไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงที่ถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงดังกล่าวไปได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลา 3 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share