คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3359/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญากู้มีมูลหนี้มาจากการที่โจทก์ทดรองจ่ายเงินในการซื้อขายหุ้นให้จำเลย การที่โจทก์ออกเช็คให้จำเลยและจำเลยสลักหลังคืนแก่โจทก์เป็นวิธีการชำระหนี้เงินทดรองที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไปในการซื้อหุ้นเท่านั้น เจตนาอันแท้จริงเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยตกลงระงับหนี้เงินทดรองที่โจทก์จ่ายไปโดยวิธีให้จำเลยกู้เงินโจทก์ใช้หนี้ จำนวนเงินที่โจทก์จะต้องจ่ายแก่จำเลยตามสัญญากู้ก็คือจำนวนเงินที่โจทก์นำไปชำระหนี้เงินทดรองจ่ายนั่นเอง เมื่อปรากฏว่าจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ดังกล่าวและโจทก์ได้นำจำนวนเงินตามสัญญากู้ไปชำระหนี้เงินทดรองจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้นั้น จำเลยจะอ้างว่าจำเลยยังไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้และไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินทดรองจ่ายในการซื้อหุ้นให้จำเลยจำเลยทำสัญญาผ่อนชำระหนี้ตามสัญญากู้ท้ายฟ้องแล้วชำระไม่ครบขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ที่ค้างพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและว่าจำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 435,989.74 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่1 ตุลาคม 2524 จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 102,457.59 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.3 มีมูลหนี้มาจากการที่โจทก์ทดรองจ่ายเงินในการซื้อขายหุ้นให้จำเลย การที่โจทก์ออกเช็คให้จำเลยและจำเลยสลักหลังคืนแก่โจทก์เป็นเพียงวิธีการชำระหนี้เงินทดรองที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไปในการซื้อหุ้นเท่านั้น เจตนาอันแท้จริงเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยตกลงระงับหนี้เงินทดรองที่โจทก์จ่ายไปโดยวิธีให้จำเลยกู้เงินโจทก์ใช้หนี้จำนวนเงินที่โจทก์จะต้องจ่ายแก่จำเลยตามสัญญากู้ก็คือจำนวนเงินที่โจทก์นำไปชำระหนี้เงินทดรองจ่ายนั้นเอง เมื่อปรากฏว่าจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ดังกล่าว และโจทก์ได้นำจำนวนเงินตามสัญญากู้ไปชำระหนี้เงินทดรองจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้นั้น จำเลยจะอ้างว่าจำเลยยังไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้และไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ไม่ได้ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share