คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3355/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยร่วมปลอมลายมือชื่อของ ป. เป็นผู้รับอาวัลเช็คเพื่อให้เช็คทั้งสิบฉบับเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เช็คทั้งสิบฉบับเป็นเช็คที่สมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย เช็คดังกล่าวจึงเป็นตั๋วเงิน จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4) ไม่ใช่เป็นความผิดตามมาตรา 264 เท่านั้น แม้จำเลยปลอมลายมือชื่อของ ป. ที่ด้านหลังเช็คทั้งสิบฉบับในคราวเดียวกันแต่การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวในแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแยกออกจากกันได้อีก ทั้งจำเลยกระทำโดยมีเจตนานำเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมนั้นไปหลอกขายลดให้แก่บุคคลอื่นเป็นรายฉบับไปจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266,32, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพแต่หลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยที่ 1 ขอแก้ไขคำให้การว่า การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นความผิดกรรมเดียว
จำเลยที่ 2 ให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4) จำคุกคนละ 7 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของจำเลยที่ 1 และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 โดยลดให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 3 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 8 เดือน ริบเช็คของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองกระทงละ 2 ปี 10 กระทง รวมจำคุกคนละ 20 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 10 ปีจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสอง 10 กระทง กระทงละ 2 ปีเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้รอการลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยให้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดเจนว่าเช็คแต่ละฉบับนั้นจำเลยได้กระทำการปลอมแปลงในวันเวลาใด เห็นว่าที่โจทก์บรรยายวันเวลาเกิดเหตุความผิดฐานปลอมเอกสารไว้กว้าง ๆ ว่าเมื่อระหว่างวันที่ 29เมษายน 2530 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2530 เวลากลางวันวันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปลอมเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด จำนวน 10 ฉบับ เป็นการบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาที่เกิดการกระทำผิดฐานปลอมเอกสารพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาข้อที่สองว่า การที่จำเลยที่ 2 ร่วมปลอมลายมือชื่อผู้รับอาวัลในเช็คเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.11 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4) หรือไม่ เห็นว่า เช็คตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.11 เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 ได้มาจากการเปิดบัญชีกระแสรายวันกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกระบือโดยถูกต้อง จึงเป็นเช็คที่สามารถสั่งจ่ายเงินได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และเช็คทั้งสิบฉบับมีรายการครบถ้วนตามกฎหมายแล้วการที่จำเลยที่ 2 ร่วมปลอมลายมือชื่อของนายประสิทธิ์ เป็นผู้รับอาวัลเช็คก็เพื่อให้เช็คทั้งสิบฉบับเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นเท่านั้นหาใช่เป็นเช็คที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมายตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ เช็คหมาย จ.2 ถึง จ.11 จึงเป็นตั๋วเงิน จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4) ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264เท่านั้น ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4)ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อที่สาม การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดกระทงเดียวหรือ 10 กระทง เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อของนายประสิทธิ์ที่ด้านหลังเช็คทั้งสิบฉบับในคราวเดียวกันการปลอมลายมือชื่อดังกล่าวในแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแยกออกจากกันได้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี จำเลยที่ 2 กระทำโดยมีเจตนานำเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมนั้นไปหลอกขายลดให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็สามารถหลอกขายเช็คให้แก่บุคคลอื่นเป็นรายฉบับไป ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกัน การปลอมลายมือชื่อในเช็ค 10 ฉบับดังกล่าว จึงเป็นความผิด 10 กระทง
ปัญหาข้อสุดท้ายว่า ที่ศาลอุทธรณ์รวมกระทงลงโทษจำเลยที่ 2จำคุก 13 ปี 4 เดือน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4) ระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 ปี ถึง 10 ปี กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2)ที่แก้ไขใหม่ เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วจะลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2ได้ไม่เกิน 20 ปี ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์รวมโทษจำเลยที่ 2ทุกกระทงแล้ว จำคุก 13 ปี 4 เดือน จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share