แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิด ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางนั้น มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นวิธีการที่เบากว่าการลงโทษจำคุก จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีกคนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงขนิษฐาอายุ 10 ปีคนละ 1 ครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 7, 9
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 279, 83, 80 แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279, 83,80 อันเป็นบทหนัก จำเลยทั้งสองเป็นนักเรียนอายุ 16 ปีและ 12 ปีซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ จึงนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74, 75 มาใช้ โดยให้ส่งตัวจำเลยที่ 1 ไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางจนกว่าจะมีอายุครบ 18 ปีและมอบตัวจำเลยที่ 2 ให้แก่บิดา
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์น้ำหนักไม่มั่นคงฟังลงโทษจำเลยไม่ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลสั่งให้ส่งตัวจำเลยที่ 1 ไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มิใช่การลงโทษ แต่เป็นวิธีการที่เบากว่าการลงโทษจำคุกฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยที่ 1