แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาจ้างแรงงานกำหนดวันที่เริ่มมีผลใช้บังคับและวันที่สิ้นสุดไว้แน่นอน แม้จะกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า หากโจทก์ผิดสัญญาไม่ว่าจะเป็นข้อหนึ่งข้อใด โจทก์ยินยอมให้จำเลยเลิกจ้างหรือไล่ออกได้ทันทีก่อนที่จะครบกำหนดเลิกจ้างตามสัญญา และโจทก์ไม่ขอเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์ตอบแทน หรือค่าเสียหายหรือค่าชดเชยจากจำเลยแต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนี้มีความหมายเพียงว่า ถ้าโจทก์ทำผิดสัญญาไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใด โจทก์ยอมให้จำเลยเลิกจ้างหรือไล่โจทก์ออกจากงานได้ทันทีก่อนที่จะครบกำหนดเลิกจ้างตามสัญญาได้ จึงเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องมีใจความว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้ง 3เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำเมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2528 ทำหน้าที่ช่างปูน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 105 บาท ในการเข้าทำงานกับจำเลยครั้งแรกนั้น จำเลยได้ให้โจทก์เขียนใบสมัครงานไว้เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการทำสัญญากันไว้ ครั้นต่อมาเมื่อโจทก์ทั้งสามเข้าทำงานกับจำเลยได้ประมาณ 1 ปี จำเลยได้นำสัญญาจ้างซึ่งมีแต่เพียงชื่อของโจทก์ทั้งสามโดยไม่ได้กรอกข้อความในช่องว่างมาให้โจทก์ทั้งสามเซ็นชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือไว้รวม 3 ครั้ง จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 2532 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยอ้างว่าหมดสัญญาจ้าง ซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยจะทำให้คล้ายกับว่าการที่จำเลยจ้าง โจทก์ทั้งสามเข้าทำงานกับจำเลยเป็นการจ้างเข้าทำงานที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนโดยให้โจทก์ทั้งสามทำสัญญาแต่ละฉบับแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ซึ่งโจทก์ทั้งสามจำเป็นจะต้องทำสัญญาจ้างกับจำเลย เพราะเกรงว่าถ้าไม่ปฏิบัติตามจำเลยแล้วก็จะถูกเลิกจ้าง จะทำให้โจทก์ทั้งสามต้องตกเป็นผู้ว่างงานและครอบครัวจะได้รับความเดือดร้อน การกระทำของจำเลยดังกล่าวเท่ากับว่าจำเลยพยายามที่จะเปลี่ยนฐานะการเป็นลูกจ้างของโจทก์ทั้งสามจากการเป็นลูกจ้างประจำที่ไม่มีกำหนดระยะเวลามาเป็นลูกจ้างประจำที่มีกำหนดระยะเวลาอันไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสามเป็นการเอารัดเอาเปรียบและพยายามหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 18,000 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,000 บาท ค่าเสียหาย 20,000 บาทจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 2 จำนวน 9,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,000 บาท และค่าเสียหาย 20,000 บาท และให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 3 จำนวน 18,900 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,100 บาท และค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินทุกจำนวนนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสามสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างแน่นอนและจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามตามกำหนดระยะเวลาการจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ โจทก์ทั้งสามได้ตกลงทำสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนกับจำเลยด้วยความสมัครใจสำหรับโจทก์ที่ 1รวม 4 ครั้ง โจทก์ที่ 2 รวม 3 ครั้ง และโจทก์ที่ 3 รวม 4 ครั้งจำเลยมิได้ทำผิดสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ทั้งสาม เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายแต่ประการใด เมื่อจำเลยได้บอกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสามตามกำหนดระยะเวลาการจ้างทุกครั้งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วอายุงานของโจทก์ทั้งสามจึงไม่ต่อเนื่องกันตามที่โจทก์ทั้งสามได้กล่าวอ้างในฟ้อง และถือมิได้ว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างของโจทก์ทั้งสามแต่ประการใด การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามตามกำหนดระยะเวลาการจ้างจึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่จำต้องบอกกล่าวเลิกจ้างให้โจทก์ทั้งสามทราบล่วงหน้า ไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งสาม และไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายฐานเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์มีใจความว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยในข้อ 11 ตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 ได้กำหนดไว้ว่า “หากข้าพเจ้าผิดสัญญาไม่ว่าจะเป็นข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ข้าพเจ้ายินยอมให้บริษัทเลิกจ้างหรือไล่ออกได้ทันที ก่อนที่จะครบกำหนดเลิกจ้างตามสัญญา และข้าพเจ้าไม่ขอเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์ตอบแทนหรือค่าเสียหาย หรือค่าชดเชยจากบริษัทแต่อย่างใดทั้งสิ้น” ซึ่งตามข้อสัญญาดังกล่าวจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามได้ ก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ สัญญาจ้างดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอนนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวมีความหมายแต่เพียงว่า ถ้าหากโจทก์ทั้งสามทำผิดสัญญาไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใด โจทก์ทั้งสามยอมให้จำเลยเลิกจ้างหรือไล่โจทก์ทั้งสามออกจากงานได้ทันทีก่อนที่จะครบกำหนดเลิกจ้างตามสัญญาได้เท่านั้น มิใช่ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขที่ทำให้ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 2 เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคท้ายศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชอบแล้ว”
พิพากษายืน