คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3348/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาจ้างแรงงานที่ทำกับโจทก์จะมีจำเลยที่ 2 กรรมการของจำเลยที่ 1 ลงชื่อเพียงคนเดียวและประทับตราของบริษัทไว้ ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ที่ต้องมีกรรมการอย่างน้อยสองคนลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าวเป็นการกระทำที่อยู่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ไปตามหน้าที่ในฐานะกรรมการ แม้การตั้งตัวแทนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ถือว่าจำเลยที่ 2 ทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ทั้ง จำเลยที่ 1 ได้ยอมรับการเข้าทำงานของโจทก์ตามสัญญาและจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามสัญญา ที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินค่าน้ำมันรถประจำเดือน โบนัสประจำปี เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาจ้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างและค่าชดเชย เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ฉะนั้นปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาจากสัญญาจ้างว่ามีการกระทำผิดสัญญาหรือไม่อย่างไร แต่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหานี้ใหม่
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่สามารถทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่จำเลยที่ 1 ตั้งเป้าหมายไว้ มีเหตุให้จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่ควรรับฟังดังกล่าว เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยทั้งสองตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๑ ในตำแหน่งรองประธานอาวุโส มีรายได้เป็นเงินเดือนเดือนละ ๗๗,๕๐๐ บาท ค่าน้ำมันรถเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ดังปรากฏรายละเอียดตามสัญญาจ้างงานเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดและจำเลยมิได้จ่ายเงินใด ๆ ให้โจทก์ จำเลยค้างชำระค่าน้ำมันรถเป็นเวลา ๔ เดือนเศษ จำเลยไม่ได้ให้ผลประโยชน์แก่โจทก์ตามที่ตกลงเช่น การประกันสุขภาพ การประกันชีวิต รถประจำตำแหน่ง รวมทั้งเงินโบนัสขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าน้ำมันรถประจำเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ ถึงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์๒๕๓๒ โบนัสประจำปี ๒๕๓๑ เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้าตามสัญญาจ้างเป็นเวลา ๓ เดือนเงินค่าเสียหายเนื่องจากผิดสัญญาจ้าง เท่ากับเงินเดือนส่วนที่คงเหลือทั้งหมดเป็นเวลา๓ เดือนครึ่ง เงินค่าชดเชยเนื่องจากโจทก์ถูกจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดเท่ากับ ๓๐ วัน เงินค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรม พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี และจำเลยที่ ๑ ให้การด้วยว่าสัญญาจ้างที่โจทก์ฟ้องมีจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อคนเดียว จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ เพราะตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ต้องมีกรรมการผู้มีอำนาจลงนามกระทำแทนจำเลยที่ ๑ จำนวน ๒ คนกับจำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ไม่ใช่เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ทำหน้าที่แทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.จำเลยที่ ๒ ชื่อคนเดียว ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ซึ่งต้องมีกรรมการลงชื่ออย่างน้อยสองคนและประทับตราของบริษัท จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีภาระที่จะต้องปฏิบัติตามข้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.๒ ไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าน้ำมันรถประจำเดือนโบนัสประจำปี เงินบอกกล่าวล่วงหน้าตามสัญญา ค่าเสียหายเนื่องจากผิดสัญญาจ้างโจทก์ไม่สามารถทำงานให้เป็นไปตามมาตราฐานที่จำเลยที่ ๑ ตั้งเป้าหมายไว้การที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์มิได้เกิดจากการกลั่นแกล้งโจทก์ การกระทำของโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยจำนวน ๗๗,๕๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน ๔๑,๕๑๗.๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (๘ พฤษภาคม ๒๕๓๒) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์คำขออย่างอื่นของโจทก์ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ในประการแรกว่าจำเลยที่ ๑ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.๒ ด้วย เห็นว่า ในปัญหานี้ถึงแม้ข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ จะต้องมีกรรมการอย่างน้อยสองคนลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัท แต่สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.๒ มีจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ ๑ ลงชื่อคนเดียวและประทับตราของบริษัทไว้ และเอกสารหมาย จ.๒นั้นเป็นสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นการกระทำที่อยู่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ ๑ซึ่งเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.๒กับโจทก์ไปตามหน้าที่ที่จำเลยที่ ๒ มีต่อจำเลยที่ ๑ ในฐานะกรรมการจึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ ทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๑ สัญญาจ้างแรงงานนั้นกฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนระหว่างจำเลยที่ ๑กับจำเลยที่ ๒ ในกรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือนอกจากนั้นจำเลยที่ ๑ ยังยอมรับการเข้าทำงานของโจทก์ตามสัญญาและจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.๒ ตลอดมา ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ว่าจะพิจารณาทางด้านแบบของนิติกรรมหรือเจตนาในการทำนิติกรรมก็ตามจำเลยที่ ๑ ในฐานะตัวการจะต้องผูกพันตามนิติกรรมการจ้างงานที่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒ เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ต้องผูกพันตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.๒ แล้วปัญหาต่าง ๆ ในประเด็นข้อพิพาทข้อ ๒ ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดว่า จำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินค่าน้ำมันรถประจำเดือน โบนัสประจำปี เงินบอกกล่าวล่วงหน้าตามสัญญาค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาจ้าง ค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยหรือไม่ นั้นจะต้องพิจารณาจากสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.๒ เป็นหลักว่ามีการกระทำผิดสัญญาหรือไม่ อย่างไร แต่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้อ ๒ ใหม่
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่สามารถทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่จำเลยที่ ๑ตั้งเป้าหมายไว้ มีเหตุให้จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ได้โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่ควรรับฟังดังกล่าว เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทข้อ ๒ ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาประเด็นข้อนี้ใหม่แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share