แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ก่อนเริ่มขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปักธงสัญลักษณ์การขายทอดตลาด อ่านประกาศโฆษณาการขายทอดตลาด เงื่อนไข ข้อสัญญา และคำเตือนโดยเปิดเผยแล้วโดยจำเลยที่ 2 มิได้คัดค้านว่าการขายทอดตลาดดังกล่าวผิดระเบียบ จึงต้องถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินกระบวนวิธีการบังคับคดีไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการนำทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 2 ออกประกาศขายมาแล้ว 10 ครั้ง ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 11 ใช้เวลาขายรวม 5 ปีเศษ ผู้เข้าประมูลทุกครั้ง มีเพียงโจทก์และนายสาวอ. โดยไม่มีผู้อื่นสนใจร่วมเข้าประมูลราคาที่ประมูลแต่ละครั้งไม่แตกต่างกัน แม้จำเลยที่ 2 รับว่าจะหาผู้มาสู้ราคา แต่ไม่เคยจัดหามา การที่จะให้ทำการประกาศขายทอดตลาดใหม่อีกก็ไม่แน่ว่าจะขายทรัพย์ได้ราคาดีขึ้นจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำร้อง ของ จำเลยที่ 2
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ค้ำประกัน จำนอง ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 23,235,707.78 บาทพร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2532เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินรวม 4 โฉนด พร้อมอาคารโรงแรม 7 ชั้นและลิฟต์ ของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์ในการขายทอดตลาดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 โจทก์เสนอราคา 46,200,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงขายทรัพย์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ไปในราคาดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2538เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย มิได้ปักธงขายทอดตลาดและมิได้อ่านประกาศโฆษณาการขายทอดตลาด ณ ที่ทำการขายโดยเปิดเผย ในการขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้โดยมิได้ร้องขานจำนวนเงินที่สู้ราคา และราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินของสำนักงานวางทรัพย์กลางซึ่งประเมินไว้ 61,662,238 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับที่กำหนดไว้ว่าด้วยวิธีการขายทอดตลาดแล้ว ในการขายทอดตลาดครั้งสุดท้ายโจทก์เข้าสู้ราคาเพียงรายเดียวและให้ราคาสูงสุด 46,200,000 บาท จำเลยที่ 2 คัดค้านว่าราคาต่ำแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสมและได้ขานราคาพร้อมกับนับ 1 ถึง 3 โดยไม่มีผู้ใดให้ราคาสูงกว่านี้อีก เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเคาะไม้ขายไป ราคาทรัพย์ที่ขายมิได้เป็นราคาที่ต่ำแต่อย่างใด ทรัพย์ที่ขายทอดตลาดมีราคาประเมินไม่เกิน 24,000,000 บาทเพราะที่ดินที่ขาย 4 แปลง มีเพียงแปลงเดียวที่ติดถนนและส่วนที่ติดถนนกว้างเพียง 6 วา ที่ดินทั้งหมดคำนวณราคาตามที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินไว้สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นเงินเพียง 5,975,500 บาท อาคารโรงแรมมีราคาประเมินเพียง 17,532,000 บาท ส่วนราคาตามท้องตลาดอย่างสูงก็ไม่เกิน 45,000,000 บาท ขอให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ข้อต่อไปมีว่า มีเหตุจะยกเลิกกระบวนวิธีการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ จำเลยที่ 2 เบิกความว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดรวม 11 ครั้ง การขายทอดตลาดครั้งสุดท้ายเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อ่านประกาศขายทอดตลาด ไม่ปักธงแสดงสัญลักษณ์การขายทอดตลาด ที่ดินที่ขายทอดตลาดพร้อมอาคารโรงแรม 7 ชั้นและลิฟต์ ราคาปัจจุบันซื้อขายประมาณ 101,000,000 บาท แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายไปเพียง 46,200,000 บาท นายอุดม ชะญาติ เจ้าพนักงานบังคับคดีเบิกความว่า ทรัพย์สินรายนี้เคยประกาศขายทอดตลาดมาแล้ว10 ครั้ง การขายทอดตลาดครั้งนี้พยานได้นำใบประกาศปิดที่กรมสรรพากรสำนักงานที่ดิน ที่ทำการศาล และประกาศทางหนังสือพิมพ์ วันที่ขายทอดตลาดพยานได้อ่านประกาศพร้อมสัญญา คำเตือน และเงื่อนไขให้ผู้เข้าสู้ราคาทราบแล้ว มีโจทก์เข้าสู้ราคาเพียงรายเดียวให้ราคา 46,200,000 บาท พยานได้นำราคานี้เสนอต่อหัวหน้าสำนักงานบังคับคดีผู้บังคับบัญชาเห็นว่าเป็นราคาสมควร พยานจึงร้องขานตามระเบียบแล้วเคาะไม้ขายให้ การขายทอดตลาดทุกครั้งจำเลยไม่เคยคัดค้านว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดผิดระเบียบราคาที่ขายทอดตลาดแม้จะต่ำกว่าราคาประเมินของสำนักงานวางทรัพย์กลางแต่ก็สูงกว่าราคาประเมินในขณะที่ทำการยึดทรัพย์ ข้อที่ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินกระบวนวิธีการบังคับคดีโดยชอบหรือไม่นั้น ศาลฎีกาตรวจดูรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขายทอดตลาดของสำนักงานบังคับคดีตามเอกสารหมาย ค.2 และรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 แล้ว สรุปได้ความว่าก่อนเริ่มทำการขายเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปักธงลัญลักษณ์การขายทอดตลาดและอ่านประกาศโฆษณาการขายทอดตลาด เงื่อนไขข้อสัญญาและคำเตือนโดยเปิดเผยแล้ว จำเลยที่ 2 เพียงแต่คัดค้านว่าราคาต่ำไปโดยไม่มีข้อความใดคัดค้านการขายทอดตลาดผิดระเบียบ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่ออยู่ท้ายรายงานเจ้าหน้าที่ ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อ่านประกาศการขายทอดตลาดไม่ปักธงการขายทอดตลาด เป็นคำกล่าวอ้างเลื่อนลอยไม่มีหลักฐานสนับสนุน พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า ฟังได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินกระบวนวิธีการบังคับคดีโดยชอบแล้วส่วนราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตกลงขายไปจะเหมาะสมหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงจากที่คู่ความทั้งสองฝ่ายสืบรับกันฟังได้ว่าการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 นี้ ได้มีการประกาศขายมาแล้ว10 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 โดยขายทอดตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่26 ตุลาคม 2532 ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2538ใช้เวลาขายรวม 5 ปีเศษ ผู้นำประมูลทุกครั้งมีแต่โจทก์และนางสาวอำนวย ม่วงมอย ผู้เคยเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 เข้าประมูลเท่านั้น ไม่มีผู้อื่นสนใจเข้าประมูล ราคาที่ประมูลอยู่ระหว่าง45,000,000 บาท ถึง 46,000,000 บาท บางครั้งไม่มีผู้เข้าสู้ราคาจำเลยที่ 2 รับว่าจะหาผู้มาสู้ราคา แต่ไม่เคยจัดหามา การที่จะให้ไปประกาศขายทอดตลาดใหม่อีกก็ไม่แน่ว่าจะขายได้ราคาดีขึ้น จึงไม่มีเหตุจะเพิกถอนการขายทอดตลาดตามคำร้องของจำเลยที่ 2ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกคำร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน