คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2513

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยตายก่อนได้รับคำบังคับ โจทก์ขอให้ส่งคำบังคับแก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นภรรยาจำเลยแทนได้ และการที่ศาลพิพากษาให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทของจำเลย เอาทรัพย์สินจากกองมรดกของจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้น ก็ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

คดีในชั้นนี้เนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าจ้างที่จำเลยจ้างโจทก์เป็นทนายความดำเนินคดีให้จำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างแก่โจทก์ 10,000 บาท ก่อนมีการส่งคำบังคับถึงตัวจำเลย ปรากฏว่าจำเลยตายลงเสียก่อน โจทก์ร้องต่อศาลว่านางฮ่อเซียะ แซ่เอ็ง เป็นทายาทและภรรยาของจำเลยผู้ตาย ขอให้ส่งคำบังคับแก่นางฮ่อเซียะ แซ่เอ็งให้เอามรดกของจำเลยผู้ตายชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ นางฮ่อเซียะ แซ่เอ็งร้องคัดค้านว่า นางฮ่อเซียะ แซ่เอ็งเป็นภรรยาของจำเลยผู้ตายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและเลิกกับจำเลย ต่างคนต่างแยกกันทำมาหากินแยกทรัพย์สินกันไปแล้วก่อนตาย ผู้ตายไม่มีทรัพย์สินมรดกอย่างใดอยู่ที่ผู้ร้องคัดค้านผู้ตายจะมีหนี้สินกับโจทก์อย่างไรผู้คัดค้านไม่รับรู้ หากจะมีหนี้กันจริงก็เป็นหนี้ส่วนตัวของผู้ตาย ไม่เกี่ยวกับผู้คัดค้าน โจทก์จึงไม่มีสิทธิอำนาจขอให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นคนภายนอกรับทราบคำบังคับและบังคับให้ชำระหนี้

ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วฟังว่า นางฮ่อเซียะ แซ่เอ็งเป็นภรรยาจำเลยผู้ตายมาก่อนบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ข้ออ้างว่าได้เลิกเป็นสามีภริยากับผู้ตายแล้วนั้น การหย่าโดยความยินยอมก็ต้องทำเป็นหนังสือมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อย 2 คนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 วรรค 2 ฉะนั้นหากจะฟังว่ามีการตกลงหย่ากันจริง แต่เมื่อไม่ได้ทำหนังสือหย่ากันดังนี้แล้วก็ต้องถือว่ายังเป็นสามีภริยากันอยู่ต่อมา เมื่อจำเลยตายลงผู้ร้องคัดค้านก็ยังคงเป็นทายาทของจำเลยผู้ตาย มีหน้าที่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เท่าที่ได้รับมรดกมา ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเป็นส่วนตัว จึงมีคำสั่งให้นางฮ่อเซียะหรือฮ่องเซียะผู้คัดค้านในฐานะทายาทของจำเลยจัดการชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากกองมรดกของจำเลยให้โจทก์

นางฮ่องเซียะหรือฮ่อเซียะผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

นางฮ่องเซียะหรือฮ่อเซียะผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ข้อที่ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 วรรค 2 มาบังคับใช้ในเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะการสมรสของผู้ตายกับผู้คัดค้านเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมียเดิม ซึ่งมีการหย่าขาดจากกันโดยไม่ต้องทำเป็นหนังสือก็ได้และการใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ไม่กระทบกระเทือนต่อการสมรสและความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีมาแต่เดิมนั้น เห็นว่าข้อโต้แย้งดังนี้ฟังไม่ขึ้นเพราะการหย่าขาดจากสามีภริยากันไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของการสมรสหรือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่เป็นเรื่องที่หมดความสัมพันธ์เป็นครอบครัวสามีภริยากัน การหย่าของสามีภริยาที่สมรสกันมาก่อนหรือหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ย่อมต้องบังคับตามบทกฎหมายที่ใช้กันอยู่ในขณะที่ทำการหย่า ผู้คัดค้านอ้างว่าหย่ากับผู้ตายเมื่อเวลาใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 นี้แล้ว จึงต้องใช้ความในมาตรา 1498 วรรคสองนี้บังคับ เมื่อการตกลงหย่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือจึงยังไม่ถือว่าเป็นการหย่ากันตามกฎหมายแล้ว

เมื่อจำเลยผู้ตายตายในขณะที่ยังถือได้ตามกฎหมายว่าเป็นสามีของผู้คัดค้านอยู่ ผู้คัดค้านก็อยู่ในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดกของผู้ตายด้วยคนหนึ่งในขณะนั้น ผู้คัดค้านจึงมีภาระหน้าที่จะต้องเอาทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายใช้หนี้ตามคำพิพากษานั้นด้วย ส่วนว่าผู้ตายจะมีมรดกอยู่ที่ผู้คัดค้านในขณะนี้ด้วยหรือไม่ไม่ใช่เป็นข้ออ้างสำคัญในชั้นนี้เพราะถ้าหากไม่มีอยู่ที่ผู้คัดค้านโจทก์ก็นำยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้คัดค้านไม่ได้ ซึ่งเป็นการไม่กระทบต่อทรัพย์ส่วนตัวของผู้คัดค้านอยู่แล้ว ข้ออ้างที่ว่าผู้คัดค้านเป็นคนภายนอกคดีย่อมถูกบังคับดังนี้ไม่ได้นั้นเป็นอันฟังไม่ขึ้นและการที่โจทก์ร้องขอให้ศาลส่งคำบังคับไปถึงภรรยา จำเลยผู้ตายให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยเป็นลูกหนี้ และศาลสั่งไปดังกล่าวข้างต้นนั้น ไม่เป็นการเกินคำขอ ตามมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังที่ผู้คัดค้านได้อ้างขึ้นมา

โดยเหตุดังกล่าวมา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยกฎีกาผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านเสียค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์ 100 บาท

Share