แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 กู้เงินโจทก์และได้มอบโฉนดที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดไว้เมื่อทำสัญญากู้เงินต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่1 มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในในที่ดินนั้น ดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้นำยึดที่ดินตามโฉนดนั้นเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องอย่างใดที่จะบังคับชำระหนี้เอากับที่ดินนั้นการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น จึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 เช่นนั้นและจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนอยู่ในที่ดินด้วยก็ไม่เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237เพราะจำเลยที่ 2 ยังมิได้ทำนิติกรรมแต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กู้เงินโจทก์และนำโฉนดที่ 3413 ซึ่งจำเลยที่ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวมาเป็นหลักประกันเงินกู้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แกล้งตั้งรูปฟ้องจำเลยที่ 2 โดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินโฉนดที่ 3413 จำเลยที่ 2 ได้เอาประกันเงินกู้โจทก์ไว้และเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว กลับแกล้งกล่าวฟ้องว่าเป็นหุ้นส่วนซื้อร่วมกันโดยจำเลยที่ 1 ออกเงิน 20,000 บาท จำเลยที่ 2ออกเงิน 5,000 บาท แล้วขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย จำเลยที่ 2 ก็รับตามฟ้องอันเป็นการสมยอมเพื่อจำหน่ายทรัพย์ให้พ้นการบังคับคดี และเป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงขอให้ศาลแสดงว่าการเข้าหุ้นส่วนซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 3413 ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นไปโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วม ห้ามจำเลยที่ 1เกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ 3413
จำเลยทั้ง 2 ให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกเงินซื้อที่ดินโฉนดที่ 3413 ไป 20,000 บาท ร่วมกับจำเลยที่ 2 และฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ 2 เพื่อฉ้อฉลโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการฉ้อฉลที่จำเลยที่ 2 รับว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดที่ดินที่ 3413 นั้นเสีย ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ 3413 ต่อไป
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิของโจทก์ในกรณีนี้มีอยู่เพียงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินกู้จำนวน 26,456.25 บาท การที่จำเลยที่ 2 นำโฉนดเลขที่ 3413 ไปให้โจทก์ยึดไว้เมื่อทำสัญญากู้เงินนั้น หาเป็นการนำทรัพย์คือที่ดินตามโฉนดนั้นไปเป็นประกันเงินกู้หรือประกันการชำระหนี้ตามกฎหมายอย่างไรไม่ ฉะนั้นตราบใดที่โจทก์ยังมิได้นำยึดที่ดินตามโฉนดนั้นเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องอย่างใดที่จะบังคับชำระหนี้เอากับที่ดินนั้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในที่ดินนั้น จึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แต่อย่างใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลฟ้องร้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 กรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะเกิดมีขึ้นก็ต่อเมื่อโจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ตามคำพิพากษาแล้ว และเมื่อจำเลยที่ 1 มาร้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนั้นอยู่ส่วนหนึ่ง ในชั้นนี้โจทก์ยังมิได้นำยึดที่ดินโฉนดที่ 3413 นั้น จึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แต่อย่างใดโจทก์ยังไม่มีสิทธิว่ากล่าวเป็นคดีนี้ขึ้น ฯลฯ และที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนอยู่ในที่ดินด้วยอันเป็นการฉ้อฉลนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 นั้น ต้องเป็นการเพิกถอนซึ่งนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลง กรณีนี้จำเลยที่ 2 ยังมิได้ทำนิติกรรมแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 จะได้ทำสัญญาประนีประนอมกันและศาลได้พิพากษาไปตามยอมนั้นแล้ว คำพิพากษาระหว่างจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 นั้น ก็หาอาจใช้ยันโจทก์โดยเด็ดขาดได้ไม่ เพราะโจทก์อาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โดยนัยดังกล่าว