แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกก็คือ กระดาษสีน้ำตาลที่มีความเหนียวมากกว่ากระดาษธรรมดาที่ใช้พิมพ์หนังสือหรือใช้ทำสมุดทั้งนี้เพราะกระดาษคราฟทเป็นกระดาษที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ทำกล่อง ผิวกล่อง ถุงหลายชั้นหรือชั้นเดียวหรือใช้เป็นกระดาษสำหรับห่อสิ่งของหรือสินค้า ผลการตรวจสอบกระดาษตัวอย่างที่โจทก์ผลิตระบุว่า กระดาษที่โจทก์ผลิตเป็นกระดาษสำหรับทำผิวกล่อง (คือกระดาษคราฟทหรือกระดาษเหนียว)ตามที่กล่าวไว้ในมาตรฐานเลขที่มอก.170-2519 แต่มีคุณภาพด้านความเหนียวของกระดาษตัวอย่างต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในมาตรฐานเท่านั้น มิได้ปฏิเสธว่ามิใช่กระดาษคราฟท ดังนี้ต้องถือว่ากระดาษที่โจทก์ผลิตเป็นกระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกดังที่กำหนดไว้ในบัญชีที่ 3 หมวด 5 สินค้าอื่น ๆ (1) ท้ายพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 54)พ.ศ.2517 โจทก์จึงได้ลดภาษีการค้าลงเหลือร้อยละ 1.5 ของรายรับ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตั้งโรงงานผลิตกระดาษคราฟท และกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกเพื่อจำหน่าย เจ้าพนักงานประเมินอ้างว่ากระดาษคราฟทที่โจทก์ผลิตไม่ได้มาตรฐานตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดไว้ ดังนั้นการที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการโดยชำระภาษีการค้า ในอัตราร้อยละ 1.5 ของรายรับตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่54) พ.ศ. 2507 บัญชีที่ 3 หมวด 5 (1)จึงไม่ถูกต้อง โจทก์จะต้องชำระภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7ของรายรับ โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินถูกต้อง แต่มีเหตุควรผ่อนผัน จึงพิจารณาให้งดการเรียกเก็บเบี้ยปรับ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าการชำระภาษีการค้าของโจทก์นั้นถูกต้องกับให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีจังหวัดคำวินิจฉัยและคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามฟ้อง
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจังหวัดปทุมธานีและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภาษีจังหวัดปทุมธานีตามเอกสารท้ายฟ้องนั้นชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ กระดาษที่โจทก์ผลิตออกจำหน่ายระหว่างปี พ.ศ. 2520 – 2526 นั้น มิใช่กระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกตามที่ระบุไว้ในหมวด 5สินค้าอื่น ๆ (1) ในบัญชีที่ 3 ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่54)พ.ศ. 2517 แต่กระดาษที่โจทก์ผลิตออกจำหน่ายเป็น ‘กระดาษทุกชนิด’ตามที่ระบุไว้ในหมวด 8 ว่าด้วยสินค้าเบ็ดเตล็ด (9) ในบัญชีที่ 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่54) ดังกล่าวซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อบละ 7 ของรายรับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้าเพิ่มในรายรับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2520ถึงเดือนมีนาคม 2526
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายฉบับใดให้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า ‘กระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูก’ ไว้ แม้กระทั่งในพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่54)พ.ศ. 2517 อย่างไรก็ดี ปรากฏในบทนิยามของหนังสือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษเหนียวตามเอกสารหมาย ล.1ว่า ‘กระดาษเหนียว (STRONG(ORKRAFT)PAPER) หมายถึงกระดาษที่ทำขึ้นจากเยื่อกระดาษฟอกหรือไม่ฟอกหรือใส่สีโดยมีคุณลักษณะที่ต้องการตามที่กำหนดในมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนี้’นอกจากนั้นปรากฏจากหนังสือของกรมวิทยาศาสตร์บริการที่ วทพ.0303/10770 ลงวันที่ 16 เมษายน 2525 ตามเอกสารหมาย ล.5 (แผ่นที่11)กล่าวถึงกระดาษคราฟทไว้ว่า ‘โดยทั่วไปในท้องตลาดมักจะเรียกกระดาษสีน้ำตาลว่ากระดาษคราฟท’ ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่ากระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกก็คือกระดาษสีน้ำตาลที่มีความเนียวมากกว่ากระดาษธรรมดาที่ใช้พิมพ์หนังสือหรือใช้ทำสมุดทั้งนี้เพราะกระดาษคราฟทเป็นกระดาษที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ทำกล่อง ผิวกล่อง ถุงหลายชั้น หรือชั้นเดียว หรือใช้เป็นกระดาษสำหรับห่อสิ่งของหรือสินค้านั่นเอง ในหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบกระดาษตัวอย่างที่โจทก์ผลิตตามหนังสือของกรมวิทยาศาสตร์บริการที่ วทพ.1302/2479ลงวันที่ 11 มกราคม 2522 ก็ระบุว่า กระดาษที่โจทก์ผลิตเป็นกระดาษสำหรับทำผิวกล่อง (คือกระดาษคราฟทหรือกระดาษเหนียว)ตามที่กล่าวไ้ในมาตรฐานเลขที่ มอก.170-2519 หน้า 8 ตารางที่ 4 แต่มีคุณภาพด้านความเหนียวของกระดาษตัวอย่างนี้ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในมาตรฐานเท่านั้นมิได้ปฏิเสธว่ามิใช่กระดาษคราฟท และไม่มีความเหนียวดังที่จำเลยอุทธรณ์ ดังนั้นจึงต้องถือว่ากระดาษที่โจทก์ผลิตดังปรากฏตัวอย่างตามเอกสารหมาย จ.8 ก็คือกระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกที่กำหนดไว้ในบัญชีที่ 3 หมวด 5 สินค้าอื่น ๆ (1)ท้ายพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517
เมื่อถือว่ากระดาษที่โจทก์ผลิตเป็นกระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกตามที่กำหนดไว้ในบัญชีที่ 3หมวด 5 สินค้าอื่น ๆ (1) แล้วโจทก์จึงได้ลดภาษีการค้าลงเหลือร้อยละ 1.5 ของรายรับ ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่ากระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟที่ทำเป็นลูกฟูกที่โจทก์ผลิตนั้นจะได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เลขที่ มอก.170-2519หรือไม่ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน แม้แต่ทางฝ่ายจำเลยเองต่อมาภายหลังก็ได้มีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 1/2526 ว่ากระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกหมายถึงกระดาษเหนียวชนิดต่าง ๆ รวม 7 ชนิด ที่ใช้สำหรับทำถุงหลายชั้นหรือชั้นเดียว ทำหีบห่อ กล่อง หรือภาชนะสำหรับบรรจุซองหรือสินค้าโดยไม่คำนึงว่ากระดาษดังกล่าวจะมีคุณสมบัติดังที่กำไนดไว้ในมาตรฐาน มอก.170-2519 หรือไม่ดังปรากฏตามเอกสาร หมาย จ.10 เมื่อจำเลยยอมรับว่ากระดาษที่โจทก์ผลิตเป็นกระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกตามบัญชีที่ 3 หมวด 5 สินค้าอื่น ๆ (1) แล้ว การเสียภาษีการค้าย่อมจะต้องเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่5) พ.ศ. 2517คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเป็นอย่างอื่น
สำหรับในข้อที่ว่ากระดาษคราฟทที่โจทก์ผลิตมิได้ผลิตจากเยื่อกระดาษ แต่ผลิตจากกล่องกระดาษคราฟทที่ใช้แล้วและเศษกระดาษนั้น เห็นว่ากระดาษคราฟทหรือกระดาษเหนียวตามมาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรมมิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ผลิตแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับคุณลักษณะอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น น้ำหนักมาตรฐาน ปริมาณความชื้นการต้านแรงดันทะลุ ฯลฯ ดังนั้นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม่ว่าจะเป็นเยื่อกระดาษหรือเป็นกล่องกระดาษคราฟทที่ใช้แล้วหรือเศษกระดาษจึงมิใช่ข้อที่จะนำมาวินิจฉัยว่ากระดาษที่ผลิตเป็นกระดาษคราฟทหรือกระดาษคราฟทที่ทำเป็นลูกฟูกตามที่กำหนดไว้ในบัญชีที่ 3 หมวด 5 สินค้าอื่น ๆ (1)ท้ายพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่54) พ.ศ. 2517 หรือไม่ฉะนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับ โดยถือว่ากระดาษคราฟทที่โจทก์ผลิตไม่ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเลขที่ มอก.170-2519 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน.