แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อที่ดินที่จำเลยต่างเข้าครอบครองเป็นที่สาธารณประโยชน์สงวนเพื่อประชาชนใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินการเข้าครอบครองของจำเลยจึงหาเกิดสิทธิครอบครองขึ้นไม่ การที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยมิได้รับอนุญาต จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108
ย่อยาว
คดีทั้ง 31 สำนวนนี้ และคดีแดงของศาลชั้นต้นที่ 1579/2514ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องจำเลยทุกสำนวนทำนองเดียวกันว่าเมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2514 ตลอดมาถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2514 จำเลยซึ่งมิได้มีสิทธิครอบครอง และมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้เข้ายึดถือครอบครองก่นสร้างที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์โคกอีเตี้ย อันเป็นที่ดินของรัฐ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108
จำเลยทุกสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยทุกสำนวนได้สิทธิครอบครองอยู่ก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน จึงไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทุกสำนวนเว้นจำเลยสำนวนคดีแดงที่ 1579/2514 ของศาลชั้นต้นมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ให้ปรับคนละ 300 บาท ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยในคดีแดงที่ 1579/2514 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้ง 31 สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยทั้ง 31 สำนวนครอบครองอยู่เป็นที่ดินของรัฐ จำเลยเข้าครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และไม่ได้แจ้งการครอบครองไว้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5 เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์โคกอีเตี้ย ซึ่งทางราชการได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สงวนเพื่อประชาชนใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน จึงวินิจฉัยว่าเมื่อที่ดินที่จำเลยต่างเข้าครอบครองเป็นที่สาธารณประโยชน์สงวนเพื่อประชาชนใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การเข้าครอบครองของจำเลย จึงหาเกิดสิทธิครอบครองขึ้นไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน