คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3330/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอจัดการมรดกเกี่ยวกับที่ดินพิพาทสองแปลงตามที่โจทก์ขอแบ่ง แสดงว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของ ผ. ซึ่งอยู่ระหว่างจัดการมรดกถึงแม้ว่าจำเลยจะครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ ผ. ตายแต่ผู้เดียวดังที่จำเลยให้การก็เป็นการครอบครองทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปันกันและต่อมาจำเลยก็ได้เป็นผู้จัดการมรดก ดังนั้นที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะทายาทและในฐานะผู้จัดการมรดกถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นด้วย จำเลยจะยกอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้ไม่ได้ โจทก์ซึ่งมีสิทธิรับมรดกแทนที่ของทายาทของ ผ. เจ้ามรดกย่อมมีอำนาจฟ้องขอแบ่งจากจำเลยได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยาน จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและมิได้ยกปัญหานี้เป็นข้ออุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยให้ฟังพยานโจทก์จำเลยก่อนนั้นไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายพุ่ม นางอิ่ม เป็นสามีภริยากันมีบุตร ๕ คน คือนางโด้ นายแจ้ง นางแผ้ว (เจ้ามรดก) นายจันทร์ นางตุ๊ นางแผ้วตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมและไม่มีบุตร มีที่นาโฉนดเลขที่ ๖๕๐๓, ๖๕๐๔ เป็นทรัพย์มรดกตกได้แก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน โจทก์ทั้งสิบสี่เป็นทายาทผู้สืบสันดานของนายจันทร์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายจันทร์หนึ่งในสี่ส่วน จำเลยเป็นบุตรนางโด้และเป็นผู้จัดการมรดกของนางแผ้วตามคำสั่งศาลคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๘๓/๒๕๒๐ จำเลยไม่จัดการแบ่งมรดกให้โจทก์และทายาทอื่นตามหน้าที่ จึงขอให้บังคับจัดการแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๕๐๓,๖๕๐๔ ออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กัน โจทก์ทั้งหมดได้รับหนึ่งส่วนมีเนื้อที่ ๘ ไร่ ๒ งาน ๙๕ ตารางวา หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดแบ่งเงินให้โจทก์ ๑ ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ขอให้จำเลยชดใช้เงินตามส่วนให้โจทก์ ๘๕,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางแผ้วจริง จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินมรดกทั้งสองแปลงตลอดมา โจทก์และทายาทอื่นไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้ฟ้องขอแบ่งมรดกภายในหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตายคดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพร้อม คู่ความแถลงรับกันว่า นางแผ้วตายเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๙ จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๕๐๓, ๖๕๐๔ ของนางแผ้วต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๐ บัญชีเครือญาติท้ายฟ้องถูกต้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว สั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าการที่จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินทั้งสองแปลงต่อศาลแสดงว่าครอบครองที่ดินสองแปลงนั้นแทนทายาทอื่น ๆ ด้วย จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกจะอ้างอายุความ ๑ ปีมาตัดฟ้องทายาทไม่ได้ แต่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๙ ที่ ๑๑ ที่ ๑๓ มิใช่ทายาทเป็นเพียงคู่สมรสของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๑๐ ที่ ๑๒ ที่ ๑๔ ไม่มีสิทธิขอแบ่งมรดก พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๕๐๓ และ ๖๕๐๔ ให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๑๐ ที่ ๑๒ ที่ ๑๔ จำนวนหนึ่งในสี่ส่วนหากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดแบ่งให้โจทก์ทั้งเก้าคนหนึ่งในสี่ส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ด้วยประการใด ๆ ให้จำเลยใช้เงิน ๘๕,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินมรดกทั้งสองแปลงมาตั้งแต่เจ้ามรดกตาย ทายาทอื่นไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้ฟ้องขอแบ่งเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปี หากคดีฟังได้ดังที่จำเลยให้การก็ชอบที่จะยกฟ้องของโจทก์เสียพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยแถลงรับว่าเป็นผู้จัดการมรดกของนางแผ้วตามคำสั่งศาล จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอจัดการมรดกเกี่ยวกับที่ดินพิพาทสองแปลงตามที่โจทก์ขอแบ่ง แสดงว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางแผ้วซึ่งอยู่ระหว่างจัดการมรดก จำเลยจึงได้ร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก ถึงแม้ว่าจำเลยจะครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่นางแผ้วตายแต่ผู้เดียวดังที่จำเลยให้การก็ตาม ก็เป็นการครอบครองทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปันกัน และต่อมาจำเลยก็ได้เป็นผู้จัดการมรดก ดังนั้นการที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะทายาทและในฐานะผู้จัดการมรดกจึงถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๔๕, ๑๗๔๘ ประกอบด้วยมาตรา ๑๓๖๘ จำเลยจะยกอายุความหนึ่งปีตามมาตรา ๑๗๕๔ มาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๑๐ ที่ ๑๒ ที่ ๑๔ มีสิทธิรับมรดกแทนที่ของทายาทของนางแผ้วเจ้ามรดกย่อมมีอำนาจฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทจากจำเลยได้ ข้อที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยาน จำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นและไม่ได้ยกปัญหานี้เป็นข้ออุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปคดีโดยให้ฟังพยานโจทก์จำเลยก่อนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share