คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายขี่รถจักรยานสองล้อจะกลับบ้าน ระหว่างทางจำเลยทั้งสองกับพวกขี่รถจักรยานยนต์ตามมาทันแล้วกลุ้มรุมทำร้ายการที่ ต. พวกจำเลยล้วงเอาเงินจากกระเป๋ากางเกงผู้เสียหายในขณะถูกกลุ้มรุมทำร้ายเป็นการฉวยโอกาสของ ต. ในขณะนั้นเองจะฟังว่าจำเลยร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยไม่ได้จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์คงผิดฐานทำร้ายร่างกายเท่านั้น

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุกคนละ 2 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุกคนละ 10 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 2,100 บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา นายสุจิน พรมดี ผู้เสียหายขี่รถจักรยานสองล้อเพื่อจะกลับบ้าน ระหว่างทางจำเลยทั้งสองซึ่งผู้เสียหายรู้จักมาก่อนกับพวกอีก 4 คนขี่จักรยานยนต์ 2 คันซ้อนท้ายกันตามมาทันจำเลยทั้งสองกับพวกซึ่งมีนายเต็มรวมอยู่ด้วยได้ร่วมกันกลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กาย ขณะนั้นเอง นายเก่งวงษ์ษา และนางบุญมี วงษ์ษา เดินผ่านมาประสบเหตุ จำเลยทั้งสองกับพวกจึงขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ผู้เสียหายไปแจ้งความต่อนายนอ พรมดีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านต่อมาจำเลยทั้งสองได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน

คดีมีปัญหาตามข้อฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า ระหว่างที่จำเลยกับพวกกลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย นายเต็มพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ล้วงเอาเงิน 2,100 บาทจากกระเป๋ากางเกงผู้เสียหายไปด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วโจทก์มีพยานคือผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าระหว่างที่ผู้เสียหายล้มลงและถูกกลุ้มรุมทำร้ายนั้น นายเต็มซึ่งผู้เสียหายรู้จักมาก่อนได้เข้ามาล้วงกระเป๋ากางเกงผู้เสียหายและเอาเงินในกระเป๋ากางเกงไป 2,100 บาทและมีนายเก่ง วงษ์ษา กับนางบุญมี วงษ์ษา ผู้ประสบเหตุ และนายนอพรมดี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้รับแจ้งความเป็นพยานเบิกความสนับสนุนโดยนายเก่ง นางบุญมี เบิกความว่า เมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกหลบหนีไปพยานทั้งสองเข้าไปประคองผู้เสียหายซึ่งได้รับบาดเจ็บ ผู้เสียหายบอกว่าคนร้ายเอาเงิน 2,100 บาทไปด้วย ส่วนนายนอผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลา 18 นาฬิกาเศษ นายเก่งและนางบุญมีได้พาผู้เสียหายซึ่งรับบาดเจ็บมาแจ้งความว่าผู้เสียหายถูกคนร้าย 6 คนตีทำร้าย และได้เอาเงิน 2,100 บาทไปด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับคำผู้เสียหาย ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักในการรับฟัง ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายเต็มพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ล้วงเอาเงิน 2,100 บาท จากกระเป๋าของผู้เสียหายไปศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

คดีคงมีปัญหาตามข้อฎีกาของจำเลยในข้อต่อไปว่า จำเลยทั้งสองร่วมรู้เห็นเป็นใจในการที่นายเต็มล้วงเอาเงินของผู้เสียหายไปด้วยหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เสียหายรู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อนเพราะมีนาอยู่ใกล้กันและมีบ้านอยู่ใกล้กัน แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองรู้มาก่อนว่าผู้เสียหายมีเงินพกติดตัวไปในวันเกิดเหตุ กลับปรากฏจากข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองว่าในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายได้ทะเลาะกันก่อนแล้วจึงเกิดชกต่อยกัน ได้ความตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่าเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกตามมาทันก็ตรงเข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีอาการหรือแสดงท่าทีมุ่งประสงค์ต่อทรัพย์แต่อย่างใดแสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนามุ่งทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น หาได้มีเจตนาพิเศษทำร้ายเพื่อเอาทรัพย์ไม่ การที่นายเต็มพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ล้วงเอาเงิน2,100 บาท จากกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายไปในระหว่างที่ผู้เสียหายถูกกลุ้มรุมทำร้ายนั้น เห็นได้ว่าเป็นการฉวยโอกาสของนายเต็มซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้นเอง อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที จะฟังว่าจำเลยทั้งสองร่วมรู้เห็นเป็นใจกับการที่พวกของจำเลยทำการลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปนั้นด้วยไม่ได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น พิเคราะห์แล้วตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรให้รอการลงโทษ”

พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share