คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3327/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชาโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ โดยมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ทราบถึงประกาศของกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด ที่จำเลยฎีกาว่า ไม่ปรากฏว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จริงหรือไม่และจำเลยไม่สามารถทราบประกาศดังกล่าวได้นั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102 ริบของกลาง และคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 75, 76 ข้อหามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท และข้อหาจำหน่ายกัญชาจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท รวม 2 กระทงจำคุก 4 ปี ปรับ 40,000บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปีปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทน 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษจำคุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำคุกและไม่ลงโทษปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยบังอาจมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขนั้นไม่ปรากฏว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จริงหรือไม่ จำเลยไม่สามารถทราบประกาศดังกล่าวได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชาโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพโดยมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ทราบถึงประกาศของกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลชั้นต้น แม้จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาก็ไม่อาจทำให้ศาลฎีการับวินิจฉัยได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนข้อที่จำเลยขอให้รอการลงโทษให้จำเลยนั้น เห็นว่า การที่จำเลยมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษจำนวนถึง 105 ห่อ น้ำหนัก 260.80 กรัม ไว้เพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายส่วนหนึ่งไปแล้วด้วย ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในข้อหาที่ร้ายแรงเป็นภัยต่อความสงบสุขของสังคม ซึ่งไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่รอการลงโทษให้จำเลยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share