คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยได้ยึดถือครอบครองที่ดินมาก่อนที่กฎกระทรวงกำหนดให้ป่าดงขุนดำ เป็นป่าสงวนแห่งชาติก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้ทราบประกาศให้ที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยไม่ยื่นแสดงสิทธิของจำเลยว่ามีสิทธิอยู่ในเขตป่าสงวนได้ภายใน90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับ จึงถือว่า จำเลยได้สละสิทธิหรือประโยชน์นั้นแล้ว ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯมาตรา 12 วรรคแรก จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวเมื่อป่าไม้อำเภอแจ้งว่า จำเลยบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติให้ออกไป จำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปโดยยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนั้นต่อไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 ที่แก้ไขแล้ว และให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติที่ยึดถือครอบครอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 ลงโทษจำคุก 6 เดือนปรับ 5,000 บาททางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุก 4 เดือน 15 วันปรับ 3,750 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้ มีกำหนด 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติที่ยึดถือครอบครอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คงฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยได้ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าดงขุนดำ ตำบลแก่งเค็ง อำเภอกุดข้าวปุ้นจังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ อยู่ก่อนต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2526 ทางราชการได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 1, 016 (พ.ศ. 2526)กำหนดให้ที่ดินบริเวณที่จำเลยยึดถือครอบครองเป็นป่าสงวนแห่งชาติจำเลยได้ทราบประกาศนั้นแล้ว แต่ไม่ยอมออกนอกเขตป่าดังกล่าวมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติใช้บังคับ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าแม้จำเลยได้ยึดถือครอบครองที่ดินมาก่อนที่กฎกระทรวงกำหนดให้ป่าดงขุนดำ เป็นป่าสงวนแห่งชาติก็ตาม เมื่อจำเลยได้ทราบประกาศให้ที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นป่าสงวนแห่งชาติแล้วจำเลยไม่ยื่นแสดงสิทธิของจำเลยว่ามีสิทธิอยู่ในเขตป่าสงวนได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับ จึงถือว่าจำเลยได้สละสิทธิหรือประโยชน์นั้นแล้วตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 12 วรรคแรกจำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวเมื่อป่าไม้อำเภอแจ้งว่าจำเลยบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติให้ออกไปจำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปโดยยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนั้นต่อไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share