คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 เป็นห้างหุ้นส่วนประกอบการเดินรถยนต์ขนส่งคนโดยสาร จำเลยที่ 2 ได้นำรถคันเกิดเหตุเข้าวิ่งรับส่งคนโดยสารในเครือของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 หักรายได้จากค่าโดยสารที่จำเลยที่ 2 ได้รับไป 10 เปอร์เซ็นต์ 15 วัน คิดกันครั้งหนึ่ง ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 มาขับรถดังกล่าวแทนคนขับประจำรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 – 3 เป็นผู้ขนส่งคนโดยสาร เพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 และเหตุที่โจทก์ได้รับความเสียหายนั้นไม่ได้เกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือความผิดของโจทก์แต่ประการใด จำเลยที่ 2 – 3 จึงต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 634 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 – 3 ก็ตาม จำเลยที่ 2 – 3 จะอ้างเหตุไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒, ๓ จำเลยที่ ๒, ๓ เป็นเจ้าของรถยนต์และครอบครองรถยนต์หมายเลข ส.ข. ๐๑๒๙๓ จำเลยที่ ๓ เป็นห้างหุ้นส่วน มีวัตถุประสงค์ทำการเดินรถขนส่งคนโดยสาร จำเลยที่ ๒ ได้นำรถยนต์ดังกล่าวเข้ารับส่งคนโดยสารในเครือของห้างจำเลยที่ ๓
วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถคันดังกล่าว โดยประมาททำให้รถตะแคงครูดไปกับพื้นถนน โจทก์ได้รับบาดเจ็บแขนขวาขาด สร้อยทองคำและเงินสดหายไปรวม ๑,๖๕๐ บาท โจทก์ขอเรียกค่าทดแทน ๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเลี้ยงดูในระหว่างเป็นผู้เยาว์ ๗ ปี คิดเป็นเงินเดือนละ ๓๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๕,๒๐๐ บาท และค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน ๖๘๐ บาท จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและพิจารณา จำเลยที่ ๒, ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสอง รถยนต์คันเกิดเหตุไม่ใช่ของจำเลยทั้งสอง จำเลยไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่เสียหายมากดังฟ้อง ฟ้องเคลือบคลุม ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องไม่เคลือบคลุมและฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒, ๓ จำเลยที่ ๑ ขับรถโดยประมาททำให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการละเมิด จำเลยที่ ๒, ๓ ต้องร่วมรับผิดตาม พิพากษาให้จำเลยทั้ง ๓ รวมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๓๒,๓๓๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒, ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๓ ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ทำการเดินรถยนต์ขนส่งผู้โดยสาร ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้นำรถยนต์คันเกิดเหตุเข้าวิ่งรับส่งคนโดยสาร ในเครือของจำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๓ หักรายได้จากค่าโดยสารที่จำเลยที่ ๒ ได้รับไป ๑๐ เปอร์เซ็นต์ สิบห้าวันคิดกันครั้งหนึ่ง ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๒, ๓ เป็นผู้ขนส่งคนโดยสารเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาริชย์ มาตรา ๖๐๘ แล้วซึ่งตามมาตรา ๖๓๔ บัญญัติว่า “ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดต่อคนโดยสาร ในความเสียหายอันเกิดแก่ตัวเขา ฯลฯ เว้นแต่การเสียหาย ฯลฯ นั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดแต่ความผิดของคนโดยสารนั้นเอง” คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้โดยสารรถยนต์ซึ่งอยู่ในความรับผิดของจำเลยที่ ๒, ๓ และเหตุที่โจทก์ได้รับความเสียหายนั้นไม่ได้เกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือความผิดของโจทก์แต่ประการใด ฉะนั้น จำเลยที่ ๒, ๓ จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กล่าวข้างต้น แม้จำเลยที่ ๑ จะไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒, ๓ ก็ตาม จำเลยที่ ๒, ๓ จะอ้างเหตุไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ โจทก์ได้รับอันตรายแขนขวาขาดถึงหัวไหล่ ศาลอุทธรณ์พิจารณาให้ ๓๐,๐๐๐ บาท พอสมควรแก่รูปคดีแล้ว
พิพากษายืน

Share