คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า ป. ทำพินัยกรรมยกที่นาพิพาทให้โจทก์ จำเลยไปขอรับมรดกที่นารายนี้ โดยแจ้งเท็จว่าจำเลยยังเป็นภริยาของ ป. อยู่ เจ้าพนักงานหลงเชื่อ ได้โอนนาพิพาทให้เป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่านิติกรรมโอนมรดกที่นาพิพาทเป็นโมฆะ และเพิกถอนเสีย และพิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองตามส่วนในพินัยกรรม คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่า โจทก์จะทำนาในที่พิพาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วว่าเป็นของโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้ทำ และจำเลยเข้าแย่งทำนาเสียทั้งหมด ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ฟ้องคดีเรื่องใหม่เป็นฟ้องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หาใช่เป็นเรื่องเดียวกันกับฟ้องในคดีก่อนไม่ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2508 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในที่ดิน 2 ใน 3 ส่วนตามพินัยกรรมที่นายเปล่งทำยกให้ นอกนั้นเป็นของจำเลย ตามสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดสระบุรีหมายเลขแดงที่ 142/2507 เวลานี้คดีอยู่ในระหว่างฎีกา ต่อมาโจทก์จะทำนาในเนื้อที่ดินของโจทก์รายนี้จำเลยไม่ยอมให้ทำ และจำเลยเข้าแย่งทำนารายนี้เสียหมด ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินพิพาท จำเลยได้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของทั้งหมดมาก่อนโจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 142/2507 การที่จำเลยทำนาในที่พิพาท จึงไม่เป็นการละเมิดคดีแพ่งหมายเลขแดงดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินเพียง 1 ใน 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าให้มีสิทธิ 2 ใน 3 ส่วน จำเลยฎีกาขอให้พิพากษาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา สิทธิของจำเลยคงมีอยู่อย่างนั้น ในเมื่อศาลฎีกายังมิได้พิพากษา

ศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว โจทก์จำเลยตกลงให้รอฟังผลคดีดังกล่าวที่อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ส่วนประเด็นเรื่องค่าเสียหาย โจทก์จำเลยตกลงกันว่าเมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้ฝ่ายใดมีสิทธิในที่นาพิพาทเท่าใดแล้ว ถ้าหากฝ่ายใดเข้าทำนาเกินส่วนของอีกฝ่ายหนึ่งเท่าใด ก็จะยอมให้เป็นค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกไร่ละ 8 ถัง ราคาถังละ 8 บาท ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 142/2507 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 142/2507 ใจความว่า นายเปล่งได้ทำพินัยกรรมยกที่นาพิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยไปลอบขอรับมรดกที่นาพิพาทโดยแจ้งเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยยังเป็นภริยาของนายเปล่งอยู่ เจ้าพนักงานหลงเชื่อ ได้ทำนิติกรรมโอนที่นาพิพาทให้เป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่านิติกรรมโอนมรดกที่นาพิพาทเป็นโมฆะและเพิกถอนเสีย และพิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองตามส่วนในพินัยกรรม ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จะทำนาในที่พิพาทของโจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมให้ทำ และจำเลยเข้าแย่งทำนารายนี้เสียทั้งหมด ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจึงเป็นฟ้องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หาใช่เป็นเรื่องเดียวกันไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 โจทก์มีอำนาจฟ้องได้

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์

Share