คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3309/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าชนิดใด ต้องนำราคาขายส่งสินค้าที่มีคุณภาพเหมือนกันมาเทียบเคียง การหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของผ้าเส้นใยประดิษฐ์ จึงต้องเทียบเคียงกับราคาของผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่มีคุณภาพเช่นเดียวกัน การที่กรมศุลกากรนำราคาผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่มีคุณภาพสูงกว่าสินค้าที่นำเข้าแล้วลดราคาลงมาเทียบเคียง ย่อมไม่ใช่ราคาขายส่งของผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่มีคุณภาพอย่างเดียวกันจึงมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่นำเข้าดังที่กฎหมายบัญญัติไว้ การประเมินเรียกเก็บภาษีอากรโดยวิธีการดังกล่าวจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้นำผ้าเส้นใยประดิษฐ์จากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักร น้ำหนัก ๑,๓๓๗.๘๐ กิโลกรัม โดยสำแดงราคาสินค้าเป็นเงิน ๓๕,๐๘๐ บาท และเป็นค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลรวม ๑๑,๓๔๒.๕๔ บาท ขณะนั้นยังไม่มีราคาสินค้าเปรียบเทียบการประเมิน เจ้าพนักงานของกรมศุลกากรโจทก์ที่ ๑ จึงให้จำเลยที่ ๑ วางประกันเงินค่าภาษีอากร แล้วตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยที่ ๑ รับไป แต่ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่า จำเลยที่ ๑ สำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงได้ประเมินให้จำเลยที่ ๑ ชำระภาษีอากรเพิ่มขึ้นเป็น ๓๒,๐๓๐.๙๒บาท แต่จำเลยไม่นำค่าภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มมาชำระ จำเลยที่ ๒เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และเป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสอง ชำระค่าภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มพร้อมเงินเพิ่ม
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การที่โจทก์ประเมินราคาสินค้าโดยใช้วิธีเทียบเคียงกับราคาสินค้าของผู้อื่นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดภาษีอากรเพิ่ม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางว่า เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ นำผ้าเส้นใยประดิษฐ์สำหรับยัด เป็นนวม กว้าง ๔๖ นิ้ว ยาว ๒๐,๐๐๐ หลาหนัก ๘๐ กรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร ในราคาหลาละ ๐.๔๐ เหรียญฮ่องกงจากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักร ในการนำของออกจำเลยที่ ๑ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าสำแดงราคาสินค้าดังกล่าวเพื่อชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน๘,๐๐๐ เหรียญฮ่องกง คำนวณเป็นเงินบาทได้ ๓๕,๐๘๐ บาท ซึ่งจะต้องชำระภาษีอากรรวม ๑๑,๙๔๒.๕๔ บาท เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีราคาอันแท้จริงในท้องตลาด พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ จึงให้ผู้นำเข้าวางเงินเพิ่มเติมเป็นประกันเงินภาษีอากรที่จะต้องชำระ๗,๗๐๐ บาท แล้วตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยที่ ๑ รับไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ เห็นว่าราคาตามที่จำเลยที่ ๑ สำแดงไว้ต่ำไป เพราะตามสมุดบันทึกข้อมูลเอกสารหมาย จ.๗ แสดงว่า เมื่อเดือนมกราคมและมิถุนายน ปี ๒๕๑๙ มีผู้นำสินค้าอย่างเดียวกันนี้เข้ามา เจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ ประเมินราคาถึงหลาละ ๒.๑๒๕เหรียญฮ่องกง สูงกว่าที่จำเลยที่ ๑ นำเข้า เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงได้ประเมินราคาสินค้าที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าใหม่ แต่เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีคุณภาพต่ำกว่าสินค้าที่เคยมีผู้นำเข้าเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินจึงตีราคาสินค้าของจำเลยที่ ๑ เพียงหลาละ๑.๘๐ เหรียญฮ่องกง ราคาสินค้าจึงเพิ่มขึ้นจากที่จำเลยที่ ๑ สำแดงไว้ในใบขนสินค้าเป็นเงิน ๑๒๒,๗๘๐ บาท จะต้องชำระภาษีอากรเพิ่มขึ้น๓๙,๗๓๐.๙๒ บาท คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่าราคาสินค้าตามที่โจทก์ที่ ๑ ประเมิน เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ ให้คำจำกัดความคำว่า ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแห่งของอย่างใดว่า “หมายความว่าราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่นำของเข้า หรือส่งของออกแล้วแต่กรณี โดยไม่มีการหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด” ดังนั้น การพิจารณาถึงราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าชนิดใด จึงต้องนำราคาขายส่งสินค้าที่มีคุณภาพเหมือนกันมาเทียบเคียงการหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าในคดีนี้ แทนที่โจทก์ที่ ๑จะนำราคาของผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่มีคุณภาพเช่นที่จำเลยที่ ๑ นำเข้ามาเป็นข้อเทียบเคียง โจทก์ที่ ๑ กลับนำราคาผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่มีคุณภาพสูงกว่าที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าที่ลดราคาลงแล้ว ซึ่งไม่ใช่ราคาขายส่งของสินค้าผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่มีคุณภาพอย่างเดียวกันกับที่จำเลยที่ ๑ นำเข้ามาเทียบเคียงแทน ฉะนั้นราคาผ้าเส้นใยประดิษฐ์ที่โจทก์ที่ ๑ ประเมิน จึงหาใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าดังที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ การประเมินเรียกเก็บภาษีอากรโดยวิธีการข้างต้น จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยคดีชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share