คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3308/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 12กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้วินิจฉัย ชี้ขาดในปัญหาว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาไม่มีอำนาจวินิจฉัย เมื่อมีปัญหาว่าคดีใดอยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลชั้นต้นขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาศาลฎีกาจึงส่งสำนวนไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่24 พฤษภาคม 2525 ณ ที่ว่าการอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กชายเอกพงษ์ ขัติยะ อายุ 12 ปีและเด็กหญิงเพชรรัตน์ ขัติยะ อายุ 11 ปี เมื่อวันที่ 8กุมภาพันธ์ 2537 โจทก์และจำเลยตกลงจดทะเบียนหย่ากันณ ที่ว่าการอำเภอดังกล่าวข้างต้น และได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าเจ้าพนักงานปกครองโดยมีสาระสำคัญคือ 1.บุตรทั้งสองคนให้อยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 3,000 บาทจนกระทั่งบุตรทั้งสองคนสำเร็จการศึกษา 2. จำเลยตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 34207 เนื้อที่ประมาณ2 งาน โดยให้โจทก์ชำระหนี้จำนองที่ดินดังกล่าวที่ค้างชำระประมาณ130,000 บาท ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาประตูช้างเผือกเมื่อชำระหนี้จำนองหมดแล้วจำเลยก็จะโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตั้งแต่โจทก์และจำเลยตกลงหย่าและทำสัญญาดังกล่าวแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาแต่อย่างใด สำหรับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนับตั้งแต่วันหย่าและบันทึกข้อตกลงถึงวันฟ้องเป็นเวลา 4 เดือนเศษคิดเป็นเงิน 12,000 บาท และจำเลยไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยได้ทราบแล้วว่าโจทก์จะชำระเงินค่าหนี้จำนองแก่ธนาคารดังกล่าว แต่เมื่อวันที่4 พฤษภาคม 2537 จำเลยกลับนำเงินไปชำระหนี้จำนองแก่ธนาคารจำนวน 130,753.60 บาท แล้วจำเลยรับเอาโฉนดที่ดินเพื่อไปโอนขายให้แก่บุคคลอื่นอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าวข้างต้น โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยได้ทราบแล้วว่าโจทก์จะเป็นผู้ชำระหนี้จำนองที่ค้างชำระแก่ธนาคารเองแต่จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาและไม่ยอมปฏิบัติตาม ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจำนวน 12,000 บาท และชำระต่อไปนับจากวันฟ้องเดือนละ 3,000 บาท จนกว่าบุตรทั้งสองคนจะสำเร็จการศึกษาและให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 34207 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ให้แก่โจทก์ ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาสันทรายภายใน 7 วัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยโดยให้จำเลยรับเงินจากโจทก์เป็นค่าหนี้จำนองที่จำเลยได้ชำระแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาประตูช้างเผือก แทนโจทก์ไปแล้วจำนวน 130,753.60 บาท
ชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องว่า คดีนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ครอบครัว คดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นจึงไม่รับฟ้องคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์ขออนุญาตอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องว่าคดีนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว คดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นจึงไม่รับฟ้องนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลยุติธรรมอื่นซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 12 กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาหามีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไม่ คำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายข้างต้น และเมื่อปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลชั้นต้นขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงเห็นควรส่งสำนวนคดีนี้ไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดตามบทกฎหมายดังกล่าวต่อไป”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ส่งสำนวนคดีนี้ไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ เมื่ออ่านคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาในปัญหาดังกล่าวแล้ว ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

Share