คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6411/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ถูกจำเลยฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท แต่ไม่ได้พิพากษาให้ขับไล่จำเลยหรือให้จำเลยรื้อถอนออกไป ดังนี้ ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาย่อมผูกพันจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนมิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์ในคดีนี้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไปจากที่ดินพิพาทโดยไม่ได้มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2532 จำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกรวม 3 คน เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16/2532 ต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยเป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. 3 เล่ม 1 หน้า 75 สารบบเล่ม 1 หน้า 42 เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ 2 งาน 63 ตารางวา ขอให้พิพากษาให้โจทก์รื้อถอนเสาจำนวน 3 ต้น ออกไปจากที่ดินของจำเลย และห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลยอีกต่อไปและขอให้สั่งว่าที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทจำเลยแต่เพียงผู้เดียวมีสิทธิครอบครอง โจทก์ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีสิทธิครอบครอง ที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโจทก์ แต่เหตุที่มีการออก น.ส. 3 ดังกล่าวเป็นของผู้มีชื่อและต่อมาโอนขายให้แก่จำเลย เนื่องจากมีการเบียดบังเอาที่ดินของโจทก์บางส่วนไปแจ้งการครอบครองแล้วนำไปออก น.ส. 3 โดยไม่ชอบ จำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ขอถือเอาคำให้การเป็นฟ้องแย้งขอให้พิพากษาเพิกถอนที่ดิน น.ส. 3 เล่ม 1 หน้า 75 สารบบเล่ม 1 หน้า 42 และพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป จำเลยยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเต็มเนื้อที่ตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 29 ปีเศษ โจทก์ไม่เคยครอบครองหรือโต้แย้ง ศาลมีคำสั่งให้รังวัดทำแผนที่พิพาท สภาพที่ดินเป็นสวนยางพาราและมีหลุมฝังศพ (ฮวงซุ้ย) 16 หลุม เจดีย์เก็บอัฐิ (บัวเก็บกระดูกศพ) 3 เจดีย์ ที่พิพาทมีเนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 3 (ปัจจุบันคือ ศาลอุทธรณ์ภาค 8) และศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2554 จำเลยได้นำที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 42 ไปดำเนินการยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16/2532 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านและแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยและนายยุทธพงษ์ในข้อหาบุกรุก ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยใช้สอยประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป จึงได้มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนโลงศพ เจดีย์เก็บอัฐิ เก็บกระดูกและอุปกรณ์ฮวงซุ้ยออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ตามคำพิพากษาของศาล จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวของทนายความแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยขุด รื้อถอน ขนย้ายโลงศพ เจดีย์เก็บกระดูก และอุปกรณ์ฮวงซุ้ยต่างๆ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามแผนที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16/2532 และปรับสภาพที่ดินให้เรียบร้อย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ดังกล่าวอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า มูลเหตุและคำขอท้ายฟ้องเป็นกรณีที่พิพาทกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 22 – 23/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์คดีนี้ให้จำเลยคดีนี้และบริวารออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องอีก อันถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 22 – 23/2535 ของศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 มีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 22 – 23/2535 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ถูกจำเลยฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6943 – 6944/2538 แต่ไม่ได้พิพากษาให้ขับไล่จำเลยหรือให้จำเลยรื้อถอนออกไป ดังนี้ ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ย่อมผูกพันจำเลยในคดีนี้ ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวมิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์คดีนี้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนขนย้ายโลงศพ เจดีย์เก็บอัฐิ เก็บกระดูกและอุปกรณ์ฮวงซุ้ยออกไปจากที่ดินพิพาทโดยไม่ได้มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6943 – 6944/2538 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่โดยที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งรับฟ้อง เพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาเสียก่อน
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา

Share