แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา733ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา733บัญญัติไว้ได้เช่นในกรณีที่ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วยังได้เงินไม่พอใช้หนี้ผู้จำนองยอมรับผิดให้ผู้รับจำนองยึดทรัพย์อื่นของตนมาใช้หนี้จนครบเป็นต้นข้อตกลงนี้ย่อมมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆะ สัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ระบุว่าถ้าในการบังคับจำนองได้เงินไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระจำนวนอยู่เท่าใดผู้จำนองยอมรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวนแต่หนี้ที่น. ลูกหนี้ค้างโจทก์หลังจากบังคับคดีแล้วไม่พอชำระนั้นเป็นเวลากว่า10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ลูกหนี้อีกต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา698แต่ยังคงรับผิดตามทรัพย์ที่จำเลยจำนอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2518 นางนิตยาอัศศิระกุล ได้กู้เงินโจทก์จำนวน 40,000 บาท กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ 10 กันยายน 2519 และเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2518นางนิตยาได้กู้เงินโจทก์เพิ่มอีกจำนวน 25,000 บาท มีกำหนดระยะเวลา 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าวและจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 30290ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้นั้นด้วย ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องนางนิตยาและศาลแพ่งมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 13955/2521ให้นางนิตยาชำระเงินจำนวน 92,139.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 65,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่นางนิตยาไม่ชำระเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 113223 แขวงประเวศเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ของนางนิตยาและนำออกขายทอดตลาดได้เงิน 101,000 บาท หักค่าใช้จ่ายชั้นบังคับคดีแล้วคงเหลือเงินจำนวน 91,929 บาท ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์หักชำระดอกเบี้ย78,149.35 บาท คงค้างชำระต้นเงิน 51,220.35 บาท หลังจากนั้นนางนิตยาและจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวอีกเลย โจทก์บอกกล่าวทวงถามบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินและดอกเบี้ยก่อนฟ้องจำนวน 43,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องเกิน10 ปี และโจทก์มิได้บังคับในคดีหมายเลขแดงที่ 13955/2521ให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา สิทธิการขอบังคับคดีหนี้เงินกู้อันเป็นหนี้ประธานย่อมระงับไป จำเลยผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 43,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000 บาท นับตั้งแต่วันที่9 มีนาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 30290 ตำบลในคลองบางปลากดอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดจำนวนแก่โจทก์โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาข้อ 5ในข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.7 อันเป็นการตกลงกันอย่างอื่นนอกเหนือจากบทบัญญัติตามมาตรา 733 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับได้ ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่ประการใด ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 30290 ตำบลในคลองบางปลากดอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มาประกันหนี้ของนางนิตยา อัศศิระกุล จำนวน 25,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามหนังสือสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองตามเอกสารหมาย จ.7 มีนายพิสันต์ บุญญกาศลงลายมือชื่อแทนจำเลยในฐานะผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.19 นางนิตยาถูกโจทก์ฟ้องบังคับให้ชำระหนี้แล้วยังคงค้างโจทก์อยู่จำนวน 51,220.35 บาท เมื่อคิดถึงวันที่ 30เมษายน 2533 ตามบัญชีและรายการโอนชำระหนี้เอกสารหมาย จ.11,จ.12 ซึ่งจำเลยต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยค้างชำระก่อนฟ้องในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี เป็นเงิน18,750 บาท และนับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ก็ย่อมกระทำได้ เช่น ในกรณีที่ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วยังได้เงินไม่พอใช้หนี้ ผู้จำนองยอมรับผิดให้ผู้รับจำนองยึดทรัพย์อื่นของตนมาใช้หนี้จนครบเป็นต้นข้อตกลงนี้ย่อมมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย หาตกเป็นโมฆะอย่างใดไม่ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 168/2518 ระหว่างร้านสหกรณ์ร้อยเอ็ดจำกัด สินใช้ โจทก์ นายเสรี อิทธิสมบัติ กับพวก จำเลยนายเถียร นาครวาจา จำเลยร่วม แม้ปรากฎตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์มีระบุไว้ในข้อ 5 ความว่าถ้าในการบังคับจำนองตามสัญญานี้ได้เงินไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระจำนวนอยู่เท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวนซึ่งหมายความว่า ถึงจะยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอใช้หนี้แก่โจทก์ โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อื่น ๆ ของจำเลยในฐานะผู้จำนองเป็นประกันมาใช้หนี้จนครบก็ตาม แต่หนี้ที่นางนิตยา อัศศิระกุล ลูกหนี้ ค้างโจทก์หลังจากบังคับคดีแล้วไม่พอชำระนั้นเป็นเวลากว่า 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ลูกหนี้อีกต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จำเลยในผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 698 แต่ยังคงรับผิดตามทรัพย์จำนองซึ่งยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน