คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3307/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยครอบครองที่พิพาทมาก่อนที่ทางราชการจะประกาศในที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ แม้จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีครั้งแรกและพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจำเลยก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏเหตุผลที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจำเลยในครั้งนั้น ทั้งไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่าได้มีการแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการให้จำเลยทราบ หรือได้มีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่พิพาทและจำเลยยังคงครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา แม้การที่จำเลยจะไม่ได้ไปแจ้งการครอบครองที่พิพาทต่อนายอำเภอท้องที่ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ทางราชการประกาศให้ที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติมีผลจะถือว่าจำเลยได้สละสิทธิในที่พิพาทและไม่มีสิทธิครอบครองอีกต่อไปก็ตาม แต่การที่พนักงานอัยการมีหนังสือแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยไปยังหัวหน้าพนักงานสอบสวนโดยไม่ระบุเหตุผลการสั่งไม่ฟ้องและไม่ได้ความว่าได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทราบและแจ้งให้จำเลยออกจากที่พิพาทด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาในชนบทเข้าใจได้ว่ายังคงมีสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทได้อีกต่อไป ประกอบกับเมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีในครั้งนี้ จำเลยก็ให้การภาคเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุมว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือแจ้งการครอบครองมาก่อน คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนายึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ ตามที่โจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2534เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ป่าเสนยะหริ่งแปลงที่สอง เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการกระทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 4, 5, 6, 9, 14, 31 ให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปีปรับ 12,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 และให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทที่จำเลยยึดถือครอบครองอยู่ตามฟ้องเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนยะหริ่ง แปลงที่สองซึ่งทางราชการประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี 2527 หลังจากมีประกาศของทางราชการดังกล่าวแล้วจำเลยเคยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีในข้อหายึดถือครอบครองที่พิพาทมาครั้งหนึ่งแล้วในปี 2531 แต่ในการดำเนินคดีครั้งนั้นพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลย ต่อมาจำเลยได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหายึดถือครอบครองที่พิพาทอีกครั้งในคดีนี้ คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทมาก่อนที่ทางราชการจะประกาศให้ที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนคดีที่จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีครั้งแรกและพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจำเลยนั้นไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่าอะไรคือเหตุผลที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจำเลยในครั้งนั้น หนังสือที่พนักงานอัยการแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยไปยังหัวหน้าพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย ล.11ที่จำเลยอ้างส่งศาลเป็นพยานก็ไม่ได้ระบุเหตุผลการสั่งไม่ฟ้องไว้และก็ไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่าได้มีการแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการให้จำเลยทราบ หรือได้มีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่พิพาท หลังจากที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยในครั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยได้ออกไปจากที่พิพาท แต่กลับได้ความจากการนำสืบของจำเลยว่าจำเลยยังคงครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้จะไม่ได้ความว่า จำเลยได้ไปแจ้งการครอบครองที่พิพาทต่อนายอำเภอท้องที่ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ทางราชการประกาศให้ที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติมีผลให้ถือว่าจำเลยได้สละสิทธิในที่พิพาทไม่มีสิทธิครอบครองอีกต่อไปดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่กรณีที่พนักงานอัยการมีหนังสือแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยไปยังหัวหน้าพนักงานสอบสวนโดยไม่ระบุเหตุผลการสั่งไม่ฟ้องไม่ได้ความว่าได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทราบและไม่ได้ความว่ามีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่พิพาทด้วย ดังนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาในชนบทเข้าใจได้ว่ายังคงมีสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทได้อีกต่อไป ประกอบกับเมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีในครั้งนี้จำเลยก็ให้การภาคเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุมว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือแจ้งการครอบครองมาก่อน พยานจำเลยมีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ คดีฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยในครั้งนี้จำเลยมีเจตนายึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ ไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน

Share