คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผลทันทีนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557(3) ทั้งตามพระราชบัญญัติ จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 20 บัญญัติว่าเมื่อศาลได้พิพากษาว่าผู้ใดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายแล้วผู้มีส่วนได้เสียจะยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องแล้วมาให้บันทึกในทะเบียนก็ได้ ฉะนั้นศาลจึงไม่จำต้องบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับ ส. เป็นบุตรตามคำขอของโจทก์ ส่วนการจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู ส. นั้นให้จ่ายตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจนกว่า ส. จะบรรลุนิติภาวะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กหญิง ส. ผู้เยาว์ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย และให้จำเลยจดทะเบียนรับรองผู้เยาว์เป็นบุตร หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ส.เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ หรือจนกว่าจะศึกษาจบชั้นอุดมศึกษา
จำเลยให้การว่า อยู่กินกับโจทก์และมีบุตรคือเด็กหญิง ส. แต่ต่อมาโจทก์จำเลยมีความประสงค์จะแยกอยู่กินกัน จึงได้ทำบันทึกประจำวันไว้ซึ่งโจทก์เรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไว้เป็นจำนวน9,500 บาท และตกลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป โดยโจทก์เป็นผู้รับเลี้ยงบุตร จำเลยมีอาชีพเป็นเจ้าของรถบรรทุก 10 ล้อมีรายได้แต่ละวันไม่แน่นอน ไม่สามารถส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ถึงเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยก็ไม่จำต้องส่งเสียเลี้ยงดูอีกต่อไป เพราะโจทก์รับทรัพย์สินไปครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เด็กหญิง ส. เป็นบุตรของจำเลยและให้จำเลยจดทะเบียนรับรองเด็กหญิง ส. เป็นบุตร หากไม่ดำเนินการให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้แก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันพิพากษาจนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ไม่มีฎีกาของจำเลยที่จะต้องวินิจฉัยอีกต่อไป และวินิจฉัยว่า… “แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองเด็กหญิง ส. เป็นบุตร หากไม่ดำเนินการให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้นศาลฎีกาเห็นว่า การเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายมีผลทันทีนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1557(3) ทั้งตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478มาตรา 20 บัญญัติว่าเมื่อศาลได้พิพากษาว่าผู้ใดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้มีส่วนได้เสียจะยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องแล้วมาให้บันทึกในทะเบียนก็ได้ ศาลจึงไม่จำต้องบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับเด็กหญิง ส. เป็นบุตรตามคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ และในส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ส. เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันพิพากษาจนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตามคำพิพากษาของศาลมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไป และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงส.ให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะและให้ยกคำขอในส่วนที่บังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับเด็กหญิง ส.เป็นบุตร หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share