แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ซึ่งมีโจทก์ที่ 1 เป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ อ.ถึงแก่ความตายคดีถึงที่สุด การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท ส่วนจำเลยที่ 2,3 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญา คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2,3 ฉะนั้นเมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2,3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาท จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2,3 หรือไม่ โจทก์ไม่อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 ประมาทหรือไม่ ประเด็นนี้จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2,3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะรับวินิจฉัยและโจทก์ย่อมฎีกาต่อมาอีกไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุตรและลูกจ้างของจำเลยที่ 2และ 3 ขับรถยนต์กระบะบรรทุกชนรถยนต์เก๋งจนเป็นเหตุให้นายอมฤตสามีของโจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ในการจัดการศพค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และค่าเสียหายเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ที่ 4 รวมเป็นเงิน 950,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทและมิใช่ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่1 เป็นเงิน 249,150 บาทโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นเงินคนละ 120,000บาทโจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 53,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสี่โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาทยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ระหว่างอุทธรณ์จำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะศาลอุทธรณ์สั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘เดิมพนักงานอัยการจังหวัดลำพูนเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาโจทก์ที่ 1 ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-0065 ลำพูน 55 โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์โจทก์ที่ 4 และเป็นเหตุให้นายอมฤตตายคดีถึงที่สุดในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 จึงฟังข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทแต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญา คำพิพากษาในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ 3 คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่2 ที่ 3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนขับและกระทำโดยประมาทจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทแล้วการที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่3 หรือไม่จึงไม่จำเป็นโจทก์ไม่อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าจำเลยที่1 ประมาทหรือไม่ประเด็นข้อนี้จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นการที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะรับไว้วินิจฉัยและโจทก์ย่อมฎีกาต่อมาอีกไม่ได้’
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาโจทก์คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาให้โจทก์ค่าทนายความให้เป็นพับ.