แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อ.ได้ยื่นคำขอถอนตัวเองออกจากการเป็นทนายโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์จะแต่งตั้งทนายความใหม่ และได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าตัวโจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบการถอนตัวออกจากการเป็นทนายความของ อ. จึงต้องถือว่า อ.ยังมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าทนายผู้มาถอนตัวได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้วตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528มาตรา 17 ประกอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 65 วรรคหนึ่ง การที่ศาลภาษีอากรยังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้ อ.ถอนตัวออกจากการเป็นทนายโจทก์แต่รอไว้สั่งในวันนัดชี้สองสถานจึงชอบแล้ว
ข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ.2539 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ.2528 หมวด 3 ได้บัญญัติกระบวนพิจารณาในชั้นชี้สองสถานไว้โดยชัดเจนในข้อ 16ซึ่งเป็นบทบัญญัติในกรณีที่คู่ความมาศาล เพื่อศาลจะได้สอบถามให้ได้ความชัดเจนในประเด็นข้อพิพาท และข้อเท็จจริงบางอย่างที่คู่ความอาจแถลงร่วมกันได้ อย่างไรก็ดีถ้าในวันนัดชี้สองสถานคู่ความไม่มาศาล ก็ให้ศาลทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 17 และถือว่าคู่ความผู้ไม่มาศาลได้ทราบกระบวนพิจารณาในวันนั้นแล้ว ดังนี้ การที่คู่ความไม่มาศาลในวันนัดชี้สองสถาน จึงไม่เป็นเหตุขัดข้องแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ศาลย่อมทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเท่าที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนความ การที่ ก.ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนวันนัดชี้สองสถานโดยอ้างว่าป่วย แม้จะได้ความว่า ก.ป่วยจนไม่อาจมาศาลได้จริงก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่ศาลจะต้องเลื่อนการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นชี้สองสถานออกไป
ศาลภาษีอากรนัดชี้สองสถานในวันที่ 19 มกราคม 2542โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานวันที่ 11 มกราคม 2542 เป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ.2539 ข้อ 10 วรรคหนึ่งซึ่งกำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 30 วัน ศาลภาษีอากรไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานจึงชอบแล้ว
ศาลภาษีอากรกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยมีคำสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็น เมื่อโจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล โจทก์จึงไม่อาจนำพยานเข้าสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบพยานที่ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 ประกอบ ป.วิ.พ.มาตรา 87
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2529 กับปีภาษี 2530 โดยเจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีโจทก์ 4 ครั้ง เป็นการประเมินสำหรับปีภาษี 2529 (ครึ่งปี) 1 ครั้ง ประเมินสำหรับปีภาษี 2529 อีก 1 ครั้ง ประเมินสำหรับปีภาษี 2530 (ครึ่งปี) 1 ครั้ง และประเมินสำหรับปีภาษี 2530 อีก 1 ครั้ง ตามคำฟ้องจึงเป็นกรณีที่โจทก์รายเดียวถูกประเมินภาษีหลายคราว แล้วโจทก์รวมฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินมาเป็นคดีเดียว แต่การประเมินสำหรับปีภาษี 2529 กับปีภาษี 2530 ซึ่งมีทั้งการประเมินครึ่งปีกับเต็มปี ถือได้ว่าเป็นการประเมินภาษีในปีภาษีเดียวกัน จึงเป็นข้อหาเดียวเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น แม้จะได้ความว่า เจ้าพนักงานของจำเลยจะทำการประเมินภาษีโจทก์รวม 4 ใบประเมิน แต่ก็เป็นการประเมินเพื่อเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2529 และปีภาษี 2530 เท่านั้น จึงเป็นคดีที่มีข้อหาในการคำนวณทุนทรัพย์เพียง 2 ข้อหา คือ ทุนทรัพย์ของการประเมินสำหรับปีภาษี 2529ข้อหาหนึ่ง กับทุนทรัพย์ของการประเมินสำหรับปีภาษี 2530 อีกข้อหาหนึ่ง โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลใน 2 ทุนทรัพย์ดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีของจำเลยได้มีหมายเรียกมายังโจทก์อ้างว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามมาตรา ๕๖ และมาตรา ๕๖ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับปีภาษี ๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ ให้โจทก์ไปให้ถ้อยคำชี้แจงประกอบการตรวจสอบพร้อมกับส่งมอบหลักฐานทางบัญชีเพื่อการตรวจสอบ โจทก์มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจมาให้ถ้อยคำ ตลอดจนนำเอกสารตามหมายเรียกมาส่งให้แก่จำเลยตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๓ เจ้าพนักงานประเมินภาษีของจำเลยได้รับเอกสารจากโจทก์แล้วเป็นเวลาเกือบ ๔ ปี ได้แจ้งมายังโจทก์ว่า โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ครบถ้วนโดยเฉพาะการขายอสังหาริมทรัพย์ และมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๒๙ (ครึ่งปี)เรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน ๒,๙๗๘,๗๙๘.๗๓ บาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๒๙เรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน ๒๐,๕๖๔,๔๗๖.๕๖ บาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๓๐ (ครึ่งปี)เรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวมเป็นเงิน ๒๕,๖๕๙,๐๘๓.๘๐ บาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๓๐ เรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน ๒,๖๙๗,๖๗๓.๑๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น๕๑,๙๐๐,๐๓๒.๒๐ บาท จำเลยได้นำไปหักออกจากปีภาษี ๒๕๒๙ (ครึ่งปี) โจทก์ยังคงถูกเรียกเก็บภาษีเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๐,๕๓๘,๕๐๔.๓๙ บาท โจทก์จึงอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าการประเมินชอบแล้ว แต่ลดเบี้ยปรับให้ร้อยละ ๕๐ คงให้เรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๒๙ (ครึ่งปี) รวมเป็นเงิน ๒,๔๘๒,๓๓๒.๔๗ บาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๒๙ รวมเป็นเงิน ๑๗,๑๓๗,๐๖๓.๘๐ บาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๓๐ (ครึ่งปี) รวมเป็นเงิน ๑๙,๒๔๔,๓๑๒.๘๕ บาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๓๐ รวมเป็นเงิน ๒,๒๔๘,๐๖๐.๙๓ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๙,๗๕๐,๒๔๒.๐๓ บาท โจทก์เห็นว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินภาษีและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ เนื่องจากโจทก์เป็นผู้มีเงินได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ในระหว่างปี ๒๕๒๘ ถึง ๒๕๓๑ โจทก์ประกอบธุรกิจทำโครงการหมู่บ้านจัดสรร ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นค่าใช้จ่ายจริงและตามความจำเป็นและสมควร ไม่มีรายการต้องห้ามตามมาตรา ๖๕ ทวิ และมาตรา๖๕ ตรี แห่งประมวลรัษฎากร การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี ๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยกำหนดค่าใช้จ่ายขึ้นมาเอง ขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเจ้าพนักงานประเมินภาษีของจำเลย และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยให้การว่า ในการตรวจสอบภาษีอากร เจ้าพนักงานของจำเลยได้ตรวจพบว่า ในปีภาษี ๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีดังกล่าวแสดงการมีเงินได้หลายประเภท และแสดงรายจ่ายสำหรับต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์ไว้สูงมาก ประกอบกับโจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีภาษี ๒๕๓๐ เจ้าพนักงานประเมินจึงออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีอากรของโจทก์ในปีภาษี ๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ โดยหมายเรียกทั้งสองฉบับดังกล่าวได้แจ้งให้โจทก์นำส่งเอกสารประกอบการลงบัญชีสำหรับปีภาษีดังกล่าวให้เจ้าพนักงานประเมินเพื่อทำการตรวจสอบ แต่ปรากฏว่าโจทก์นำส่งเอกสารตามหมายเรียกให้แก่จำเลยล่าช้า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ทำการตรวจสอบการเสียภาษีอากรของโจทก์ทุกประเภทภาษี ในการตรวจสอบเจ้าพนักงานประเมินพบว่า โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีในปีภาษี ๒๕๓๐ ส่วนการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีในปีภาษี ๒๕๒๙ และครึ่งปีในปีภาษี ๒๕๓๑ กับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ นั้น โจทก์แสดงรายได้และรายจ่ายในการคำนวณภาษีในระบบเกณฑ์สิทธิและมีรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา ๖๕ ตรี แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นกรณีการแสดงรายการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของโจทก์นำมาปรับปรุงรายการที่โจทก์จะต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้องในแต่ละปีภาษีโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านในประเด็นการปรับปรุงรายได้ของโจทก์ในแต่ละปีภาษี ส่วนประเด็นด้านรายจ่ายโจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านเพียงเฉพาะรายการปรับปรุงค่าใช้จ่ายอันเป็นต้นทุนสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ในแต่ละปีภาษีเท่านั้น ในการตรวจสอบเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้คำนวณหักค่าใช้จ่ายให้โจทก์ตามหลักฐานการจ่ายของโจทก์ รายการใดที่ไม่มีหลักฐานการจ่ายจะต้องถือเป็นรายการที่ไม่อาจนำมาคำนวณหักค่าใช้จ่ายได้ กรณีค่าใช้จ่ายอันเป็นต้นทุนขายบ้านและที่ดิน ในปีภาษี๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ นั้น จะมีต้นทุนขายในแต่ละปีที่เกี่ยวพันกับต้นทุนขายในปีอื่น ๆประกอบกับโจทก์ไม่มีหลักฐานรายละเอียดค่าใช้จ่าย ค่าวัสดุก่อสร้างให้เจ้าพนักงานของจำเลยตรวจสอบได้ว่า งานก่อสร้างและงานในระหว่างก่อสร้างในปีภาษีใดมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นค่าอะไรบ้าง สำหรับโครงการหมู่บ้านใด จำนวนเท่าใดและแบบบ้านประเภทใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงคำนวณหักค่าใช้จ่ายอันเป็นต้นทุนขายบ้านและที่ดินให้โจทก์ และหักค่าใช้จ่ายสำหรับงานถนนและงานสาธารณูปโภคให้แก่โจทก์ การตรวจสอบของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าว เป็นผลให้โจทก์ต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีในปีภาษี ๒๕๒๙ ถึง๒๕๓๐ และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี ๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๐ ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๓๑ โจทก์มีภาษีชำระเกิน จำนวน ๑,๓๖๑,๕๒๗.๘๑ บาทเจ้าพนักงานประเมินจึงได้นำภาษีชำระเกินจำนวนดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้กับจำนวนภาษีที่โจทก์ต้องชำระเพิ่ม สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีในปีภาษี ๒๕๒๙การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๒ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกาวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ นายเอนก คำชุ่ม ทนายโจทก์ในฐานะผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของโจทก์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในคำร้องว่า”สำเนาให้อีกฝ่าย รอไว้สั่งในวันนัด” วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๑ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนนายเอนกออกจากการเป็นทนายความของโจทก์ และขอยกเลิกไม่ให้เป็นตัวแทนในการรับคำคู่ความและเอกสารพร้อมกับยื่นใบแต่งทนายความเข้ามาใหม่ แต่งตั้งให้นายไกรศักดิ์ ขัดคำ เป็นทนายความคนใหม่ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในคำร้องขอถอนนายเอนกว่า “สำเนาให้อีกฝ่าย สั่งในวันนัด ส่วนใบแต่งทนายความนั้นสั่งรวมสำนวน” วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๔๒ นายไกรศักดิ์ ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีพยาน ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า “การยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามข้อกำหนดฯ ข้อ ๑๐ วรรคหนึ่ง ต้องยื่นเป็นคำร้องพร้อมทั้งยื่นบัญชีระบุพยานและสำเนาในจำนวนที่เพียงพอ โจทก์ยื่นแต่เพียงคำร้อง ให้ยกคำร้อง”วันรุ่งขึ้นนายไกรศักดิ์ ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานใหม่ พร้อมทั้งบัญชีระบุพยานศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า “สำเนาให้อีกฝ่าย รอไว้สั่งในวันนัด” ครั้งถึงวันนัดชี้สองสถานนายไกรศักดิ์ ทนายโจทก์มอบฉันทะให้นายวิรัช พิพรพงษ์ เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนการชี้สองสถานมายื่นอ้างว่ามีความประสงค์จะแถลงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับคำฟ้องและคำให้การ แต่เนื่องจากป่วย ต้องพักรักษาตัวกับแพทย์ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปรากฏตามใบรับรองแพทย์ ส่วนนายเอนกทนายโจทก์อีกคนหนึ่งมอบฉันทะให้นายสมศักดิ์ ชินวงษ์ เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นอ้างว่าโจทก์แต่งตั้งทนายคนใหม่แล้ว จึงไม่ได้ว่าความอีกและมีภารกิจติดประชุมร่วมกับกรรมการบริหารของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์กรุงเทพเคหะ จำกัด ซึ่งนายเอนกมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อจึงมอบฉันทะให้นายสมศักดิ์มาฟังคำสั่งเรื่องขอถอนทนาย ทนายจำเลยไม่ค้านที่ทนายโจทก์ป่วย แต่เห็นว่าไม่มีเหตุจำเป็นที่จะเลื่อนการชี้สองสถาน ส่วนการขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานทนายจำเลยค้านอ้างว่าโจทก์ทราบดีถึงความมีอยู่ของพยานเอกสาร โดยโจทก์แนบไว้ท้ายฟ้องทั้งพยานบุคคลก็เป็นบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับโจทก์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า เนื่องจากโจทก์ได้รับทราบการถอนทนายของนายเอนกแล้ว จึงอนุญาตให้นายเอนกถอนทนายจากคดีนี้ได้ ส่วนคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาต และไม่อนุญาตให้เลื่อนการชี้สองสถาน แล้วทำการชี้สองสถานกะประเด็นข้อพิพาท สั่งให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็น โดยมีคำสั่งต่อไปว่า เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในระยะเวลาที่กำหนดจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานคดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา นัดฟังคำพิพากษา ต่อมาวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๒ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนรายงานกระบวนพิจารณาวันนัดชี้สองสถาน อ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณา ศาลภาษีอากรกลางสั่งไต่สวนสืบพยานโจทก์เสร็จในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ แล้วมีคำสั่งในวันนั้นว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลในคดีนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเสียมาในอัตราสูงสุดเพียงจำนวนเดียว ให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามทุนทรัพย์แต่ละข้อหาให้ครบถ้วน โจทก์จึงเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มอีก๓๑๘,๒๖๐ บาท ผลของการไต่สวนคำร้องขอให้เพิกถอนรายงานกระบวนพิจารณานั้นศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๒ ว่าศาลได้สั่งไปโดยชอบแล้วให้ยกคำร้องและให้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๒ วันที่ ๙ มีนาคมโจทก์ยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่มีคำสั่งลงวันที่ ๔ มีนาคม๒๕๔๒ ไว้
พิเคราะห์แล้ว โจทก์อุทธรณ์เป็นปัญหาสำคัญรวม ๕ ข้อ โดยปัญหาข้อแรกมีว่า การที่โจทก์ถอนนายเอนกออกจากการเป็นทนายความของโจทก์แต่ศาลภาษีอากรกลางมิได้มีคำสั่งทันที กลับรอไว้สั่งในวันนัดชี้สองสถานเป็นการไม่ชอบเพราะต่อมาโจทก์ได้ตั้งให้นายไกรศักดิ์เป็นทนายความแล้ว ศาลควรอนุญาตให้โจทก์ถอนนายเอนกออกจากการเป็นทนายความของโจทก์ การที่ศาลยังไม่มีคำสั่งอนุญาตทำให้โจทก์เสียหาย ต้องแต่งตั้งนายเอนกเป็นทนายความของโจทก์ต่อไปนั้น เห็นว่าตามคำขอถอนทนายความลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ที่นายเอนกได้ยื่นคำขอถอนตัวเองออกจากการเป็นทนายโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์จะแต่งตั้งทนายความใหม่และได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าตัวโจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบการถอนตัวออกจากการเป็นทนายความของนายเอนก จึงต้องถือว่านายเอนกยังมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าทนายผู้มาถอนตัวได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้วตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๒๘มาตรา ๑๗ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๕ วรรคหนึ่งการที่ศาลภาษีอากรกลางยังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้นายเอนกถอนตัวออกจากการเป็นทนายโจทก์จึงชอบแล้ว
ปัญหาต่อไปเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อ ๒, ๓ และ ๔ ไปในคราวเดียวกัน โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีในวันชี้สองสถาน และคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่พิพากษายกฟ้องไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๒๘ หมวด ๓ ได้บัญญัติกระบวนพิจารณาในชั้นชี้สองสถานไว้โดยชัดเจนในข้อ ๑๖ บทบัญญัติดังกล่าวมีขึ้นเพื่อในกรณีคู่ความมาศาลก็จะได้สอบถามให้ได้ความชัดเจนในประเด็นข้อพิพาท และข้อเท็จจริงบางอย่างที่คู่ความอาจแถลงร่วมกันได้ อย่างไรก็ดี ถ้าในวันนัดชี้สองสถานคู่ความไม่มาศาล ก็ให้ศาลทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ ๑๗ และถือว่าคู่ความผู้ไม่มาศาลได้ทราบกระบวนพิจารณาในวันนั้นแล้ว ดังนี้ การที่คู่ความไม่มาศาลในวันนัดชี้สองสถานจึงไม่เป็นเหตุขัดข้องแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ศาลย่อมทำการชี้สองสถานไปได้ ตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเท่าที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนความ ดังนั้นการที่นายไกรศักดิ์ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนวันนัดชี้สองสถานโดยอ้างว่าป่วยไม่ว่าข้อเท็จจริงจะได้ความว่านายไกรศักดิ์ป่วยจริงจนไม่อาจมาศาลได้ก็ตามก็ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่ศาลจะต้องเลื่อนการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นชี้สองสถานออกไปแต่อย่างใด ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการชี้สองสถานจึงชอบแล้ว
ส่วนที่โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตในบัญชีระบุพยานนั้น ได้ความว่าโจทก์ยื่นคำร้องในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๔๒ แต่คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๒ การยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์จึงพ้นกำหนดระยะเวลาตามข้อที่กำหนดดังกล่าวข้อ ๑๐ วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ที่ศาลภาษีอากรกลางไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานจึงชอบแล้ว ฉะนั้น เมื่อได้ความว่าคดีนี้ศาลภาษีอากรกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยมีคำสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็น เมื่อโจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล โจทก์จึงไม่อาจนำพยานเข้านำสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบพยานที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๒๘มาตรา ๑๗ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๗ ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ จำเลยไม่ติดใจสืบพยานแล้วพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีเพราะไม่มีพยานมาสืบ จึงชอบแล้ว
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสุดท้ายเป็นเรื่องค่าขึ้นศาล โดยมีปัญหาว่าตามคำฟ้องของโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลโดยการรวมทุนทรัพย์ตามหนังสือแจ้งการประเมินทั้ง ๔ ฉบับ หรือโดยการแยกตามหนังสือแจ้งการประเมินแต่ละฉบับข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี ๒๕๒๙กับปีภาษี ๒๕๓๐ โดยเจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีโจทก์ ๔ ครั้งเป็นการประเมินสำหรับปีภาษี ๒๕๒๙ (ครึ่งปี) ๑ ครั้ง ประเมินสำหรับปีภาษี ๒๕๒๙อีก ๑ ครั้ง ประเมินสำหรับปีภาษี ๒๕๓๐ (ครึ่งปี) ๑ ครั้ง และประเมินสำหรับปีภาษี ๒๕๓๐ อีก ๑ ครั้ง เห็นว่า ตามคำฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์รายเดียวถูกประเมินภาษีหลายคราว แล้วโจทก์รวมฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินมาเป็นคดีเดียว ดังนี้แม้กรณีจะได้ความว่า เจ้าพนักงานประเมินจะได้ทำการประเมินหลายหนหลายคราวแต่การประเมินสำหรับปีภาษี ๒๕๒๙ กับปีภาษี ๒๕๓๐ ซึ่งมีทั้งการประเมินครึ่งปีกับเต็มปี ถือได้ว่าเป็นการประเมินภาษีในปีภาษีเดียวกัน จำนวนเงินภาษีของปีภาษี๒๕๒๙ กับปีภาษี ๒๕๓๐ จึงมียอดเงินภาษีของปีภาษี ๒๕๒๙ (ครึ่งปี) กับปีภาษี ๒๕๓๐(ครึ่งปี) ตามลำดับรวมอยู่กับเงินภาษีสำหรับการประเมินครึ่งปีภาษีและเต็มปีภาษีอันเป็นจำนวนเดียวกัน จึงเป็นข้อหาเดียวเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น แม้จะได้ความว่าเจ้าพนักงานของจำเลยจะทำการประเมินภาษีโจทก์รวม ๔ ใบประเมิน แต่ก็เป็นการประเมินเพื่อเสียภาษีปีภาษี ๒๕๒๙ และปีภาษี ๒๕๓๐ เท่านั้น จึงเป็นคดีที่มีข้อหาในการคำนวณทุนทรัพย์เพียง ๒ ข้อหา คือ ทุนทรัพย์ของการประเมินสำหรับปีภาษี๒๕๒๙ ข้อหาหนึ่ง กับทุนทรัพย์ของการประเมินสำหรับปีภาษี ๒๕๓๐ อีกข้อหาหนึ่งโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลใน ๒ ทุนทรัพย์ดังกล่าวเป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลโดยแยกออกเป็น ๔ ทุนทรัพย์ ตามการประเมินเป็นเงิน ๕๑๘,๒๖๐ บาท จึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเพิ่มจำนวน๑๑๘,๒๖๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง.