แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งโอนที่ดินมรดก จำเลยต่อสู้ว่าเป็นที่ดินของจำเลย เมื่อปรากฏว่า คดีนี้เป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งคู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ทั้งสี่ฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่มีน้ำหนักน่าเชื่อว่า จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไว้แทนโจทก์ที่ 2 คดีโจทก์ทั้งสี่ไม่ขาดอายุความนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วในวันที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่และจำเลยเป็นบุตรของนายทุยและนางชาซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว มีทรัพย์มรดกคือที่ดินหลายแปลง จำเลยครอบครองที่ดินมรดกส่วนหนึ่งอยู่ ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกโอนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วน หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ก่อนมารดาถึงแก่กรรมโจทก์ทั้งสี่และจำเลยตกลงกันให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 15 ปีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 682 ตำบลธวัชบุรี อำเภอธวัชบุรีจังหวัดร้อยเอ็ดให้แก่โจทก์ที่ 2 คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ 2ที่ขอให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)เลขที่ 682 แก่โจทก์เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งคู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสี่ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่มีน้ำหนักน่าเชื่อว่า จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ไว้แทนโจทก์ที่ 2 คดีโจทก์ทั้งสี่ไม่ขาดอายุความนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วในวันที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นฎีกา
พิพากษายกฎีกาโจทก์ทั้งสี่